ว้า!..เกริ่นไว้แต่แรกว่าขอเวลาไปจัดสวนหลังบ้าน 2 วัน แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับกลายเป็น 4 วันซะนี่ อาจเป็นเพราะว่าแตบลงมือทำเองคนเดียวทั้งหมดก็ได้มั้งคะ จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะแตบชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเองอยู่แล้ว กว่างานจะเสร็จสิ้นได้ มือไม้แตบก็แตกบวมไปหมด มิหนำซ้ำยังได้อาการปวดเมื่อยเป็นของแถมมาอีกต่างหาก แต่เมื่องานเสร็จสิ้น และเห็นผลงานของตัวเองแล้วก็ภูมิใจมากมาย..แต่ว่ายังเหลือส่วนของสวนหน้าบ้านอีกนะคะเนี่ย (คงต้องรอสักพักใหญ่ๆ เพราะตอนนี้งบหมดแล้ว อิอิ)
..มาเข้าเรื่องตามชื่อตอนกันดีกว่านะคะ .......
เวลาที่เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความรัก,หน้าที่การงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เรียกว่า "ประสบความสำเร็จ" คุณผู้อ่านเคยแอบคิดตั้งคำถามหรือไม่ว่า "เขาคนนั้นประสบความสำเร็จได้อย่างไร?" แน่นอนค่ะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ย่อมต้องเคยผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายมาด้วยกันแทบทั้งสิ้น จะต่างกันที่ผ่านมามาก หรือ ผ่านมาน้อย เท่านั้นเอง แต่สำหรับแตบแล้ว ก่อนที่จะมีชีวิตรักในครอบครัวอบอุ่น+สุขสันต์ ได้อย่างทุกวันนี้ได้ แตบก็ต้องเผชิญ "มรสุมชีวิต" มามากมายเหมือนกัน มีหลายครั้งที่แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ว่า..แตบก็ผ่านมันมาได้ในที่สุด
เมื่อปี 2540 (หลังจากที่แตบกับแฟนคนปัจุบันนี้ อยู่กินกันมาได้ระยะหนึ่ง)ประเทศไทยต้องเผชิญภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจโลก(ปรากฏการณ์ฟองสบู่แตก) ด้วยภาวะของสถานการณ์เลวร้ายทางเสรษฐกิจนี้ ได้ส่งผลให้ทุกบริษัททั่วประเทศต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วนเพื่อความอยู่รอดของหน่วยงาน แตบเองในฐานะพนักงานดีเด่นของแผนกและของหน่วยงานในตอนนั้น ก็พลอยติดร่างแหไปด้วย แต่ด้วยความที่ก่อนจะถูกเลิกจ้างนั้น แตบกับแฟนใช้ชีวิตอย่างประมาทและเที่ยวสนุกสนานไปวันๆ จึงทำให้ไม่มีเงินเก็บติดตัวเลยแม้แต่บาทเดียว จะมีก็เพียงเงินจำนวน 2 หมื่นเศษๆที่แตบได้รับชดเชยจากการเลิกจ้าง ช่วงนั้นแฟนของแตบเองก็เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ไม่นาน กว่าจะถึงกำหนดรับค่าแรงก็ต้องรอในเดือนถัดไป ดังนั้นเงินชดเชยที่แตบได้รับมาจึงเป็นเงินก้อนเดียวและก้อนสุดท้ายที่จะต่อชีวิตให้เราสองคนได้สักระยะเท่านั้นเอง บรรยากาศวันสุดท้ายในการทำงานของแตบกับเพื่อนๆ เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวเหลือเกิน ทุกอย่างดูหม่นหมองและชวนเศร้าไปเสียหมด พวกเราแทบไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น เพราะคิดว่าถึงจะทำไป กลุ่มผู้บริหารของหน่วยงานก็คงไม่มีทางเห็นคุณค่าถึงขั้นเปลี่ยนใจไม่เลิกจ้างพวกเราอยู่ดี วันนั้นเองที่"พี่แดง" หัวหน้างานคนหนึ่งที่ถูกเลิกจ้างด้วยเช่นกัน ได้เข้ามาพูดคุยปลอบใจและเตือนสติแตบว่า "ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้ายนะน้อง ถึงใครไม่เห็น แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจ" ใช่ค่ะ คำพูดของพี่แดงทำให้แตบสามารถกัดฟันทำหน้าที่ของตัวเองในวันสุดท้ายของการทำงานได้จนสำเร็จลุล่วงไปได้ในที่สุด หลังถูกเลิกจ้าง แตบกับเพื่อนๆร่วมชะตากรรมต่างก็ออกตระเวนหางานอยู่หลายวัน แต่การหางานในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นับวันเงินติดตัวของแตบยิ่งร่อยหรอลงเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่แตบแอบรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง และบ่อยครั้งที่ได้ยินคำพูดเยาะเย้ย ถากถางจากเพื่อนพนักงานที่ไม่ถูกเลิกจ้าง นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนแตบคงจะต่อยเจ้าพวกปากชั่วนั้นให้ล้มคว่ำไปแล้ว แต่ด้วยความที่แตบรู้จักยอมรับสภาพตัวเองได้ แตบจึงไม่ใส่ใจคำพูดในเชิงลบของคนเหล่านั้น ตรงกันข้าม แตบ กลับรู้สึกว่ามันเป็นยากระตุ้นชั้นดี ที่ทำให้แตบลุกขึ้นมาฮึดสู้ต่อไปซะด้วยซ้ำ ดังนั้นแตบจึงมุ่งมั่นตระเวนสมัครงานต่อไป สมัครไว้หลายที่แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ "เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป" และ "เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป" ซึ่งแตบเพิ่งมาทราบทีหลังว่า นี่เป็นการตอบปฏิเสธที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีเท่านั้นเอง ระยะเวลาหลายเดือนที่แตบตกงานอยู่นั้น แตบเริ่มเห็นสัจธรรมในข้อที่ว่า "มิตรแท้ มักจะเห็นได้ในยามยาก" ใช่ค่ะ สิ่งที่แตบเคยเรียกว่า "เพื่อน" ต่างหลบลี้หนีหน้าไปตามๆกัน บางคนเคยพูดจา-หยอกล้อสนิทสนมเมื่อสมัยเคยร่วมงาน กลับทำเฉยเมยเย็นชา เดินสวนทางก็แกล้งมองไม่เห็นเสียดื้อๆ บางคนก็พูดคุยกับเราด้วยอาการเร่งรีบคล้ายมีธุระจะต้องรีบไปในบัดดล ทั้งที่ก่อนแตบจะทักทายเธอก็ยังมีอาการนวยนารถทอดน่องอยู่เลย อิอิ แตบไม่โทษคนพวกนั้นหรอกนะคะ กลับจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ทำให้แตบได้รู้จักคำว่า "มิตรแท้" และ "มิตรเทียม" ได้ดียิ่งขึ้น
ด้วยความที่แตบเคยได้รับความเอ็นดูจากอดีตผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานที่เลิกจ้างมานั้น ช่วงที่แตบยังตกงาน ท่านก็เมตตาโทรศัพท์มาถามไถ่ทุกข์สุขเป็นระยะๆ พอทราบว่าแตบยังหางานไม่ได้ ท่านก็เมตตาจ้างแตบไปทำสวนให้ สัปดาห์ละครั้ง แต่ละครั้งแตบได้ค่าแรง 300 บาท แต่น่าแปลกใจเหลือเกิน ที่ 300 บาทของแตบในช่วงตกงานนี้ มันช่างเป็นเงิน 300 บาทที่แตบรักและเห็นคุณค่าอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอันว่า กว่าที่แตบจะได้งานใหม่ทำตามความถนัดนั้น แตบก็ต้องเดินทางไปทำสวนให้อดีตเจ้านายเป็นระยะเวลาหลายเดือนติดต่อกันเลยทีเดียว ถึงจะเป็นงานกลางแจ้งที่ทั้งเหนื่อยและหนัก แต่แตบก็ไม่เคยเกี่ยง เพราะอย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่แตบจะหาเงินมาสมทบเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกับแฟนได้นั่นเอง
เรื่องราวที่เล่ามานี้เป็นเพียงบททดสอบชีวิตบทแรกสำหรับแตบเท่านั้นเองค่ะ เพราะหลังจากที่แตบได้งานแห่งใหม่แล้ว ชีวิตแตบต้องเผชิญ "มรสุมชีวิต" ลูกแล้วลูกเล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว..ติดตามอ่านในตอนต่อไปนะคะ
7 ความคิดเห็น:
อยากมีที่ให้จัดสวนบ้างนะคะ
แต่คงต้องรอไปอีกสักพักใหญ่ๆๆๆ อิอิ
จะแวะเข้ามาขอบคุณมากๆเลยนะคะ
สำหรับคำแนะนำทุกๆอย่างจะเอาไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ
ช่วงนี้ไม่ได้เข้าไปอัพบล๊อกเลย พอดีว่า
เมโม่สุดที่รัก มาบอกว่าคุณแตบ แวะมาเม้นไว้ให้
เลยเข้ามาเปิดดู ต้องขอบคุณอีกทีนะคะ
ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนใหม่บนโลกออนไลน์ค่ะ...
อ่านแล้วท้อเนอะ เหมือนตอนนี้เลย ท้อแท้ใจเนอะ
บ้างคุงพี่หนาวมะ คะ ที่เชียงใหม่หนาวมั๊ก ๆๆ
ในห้องปิดหน้าต่างปิดม่าน 17.1 องศา ปรื้อออ
รักษาสุขภาพด้วยนะ
สวัสดีคับ พี่ แตบ
น้องนะมารายงานตัวนะครับ ที่หายไปนานไม่ได้ไปใหนครับ แต่เนื่องจากถูกส่งตัวไปอยู่ชายแดน 1 อาทิตย์ เหมือนทหารออกรบเลยครับ แต่เหนื่อยมากกกก ใช่ครับ ผมไปประจำที่ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ครับ ไปเป้นนายสถานีที่นั่น 1 อาทิตย์ แต่เหมือน 1 เดือน หรือ 1 ปี ครับ เพรราะมันทั้งเหนื่อย ทั้งกดดัน เป็น บททดสอบที่ยากมากกก กลับมาก็เลยมาอ่านบทควมาของพี่นะครับ เด๊ยวว่า ไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ตัวจริง นะ จะเขียนเก๊ยวกับบรรยากาศ ความสุข ความ ทุกข์ ที่ สนามบินอู่ตะเภา ให้ทุกคนได้รับรุ้นะครับ โปรดติดตาม ...
ดีคับ พี่แตบ
ไม่มีเวลาเลยครับช่วงนี้ พอสนามบินเปิดอีกที งานก้ยุ่งไปหมด ประชุม ประชุม แล้ว ก็ประชุม ขนาดน้องเพิ่งไปสงครามที่อู่ตะเภา นายก็ไม่เห้นใจเลย เรียกมาทำงาน ไม่ให้พักเลย ใช้เกินเงินเดือนแล้ว จะไปร้องเรียนนายก ก้ยังไม่มีนายก ซะที
**ชีวิตลิขิตเองที่หายไป เพราะว่า น้อง มีความรู้สึกว่า มัน หดหู่ จัง พอมาอ่านแล้ว สงสารตัวเอง อยากให้ มีแต่เรื่องสนุกๆมากก่าคับ ต้องขอโทษพี่แตบด้วยที่เอาออก ไป แล้ว เด๊ยวมีเวลาน้องจะมาเขียนบรรยากาศ ป่าช้าที่ค้างใว้นะครับ
ปล. พี่แตบน้อง นะ รบกวนส่งเมลไปที่เมลน้องหน่อยครับ พอดี เปลี่ยนเมลใหม่ ตามชื่อใหม่นะครับ ดังนี้ nachapatk@windowslive.com ครับ เมลเดิม ชื่อเดิม ไม่ใช้แล้ว ครับ ขอบคุณครับ
ส่งเมลไปหาแล้วนะจ๊ะ
ขอบคุณครับสำหรับบทความ
แสดงความคิดเห็น