หลังวันแห่ง "ไม้เรียวประวัติศาสตร์" แตบเริ่มทำตัว สงบเสงี่ยม เรียบร้อยและเป็นเด็กดีมากขึ้น แต่..โบราณกล่าวไว้ว่า "น้ำนิ่งอย่าวางใจ" อิอิ ใช่ค่ะ เพราะภายใต้ใบหน้าสดใสเป็นมิตรของแตบนั้น มันมีความโกรธแค้นรุนแรงซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา "สักวันแตบจะต้องเอาคืนให้ได้ " เด็กน้อยครุ่นคิดวางแผนอย่างเงียบๆเพียงลำพัง..??!!
..เวลาผ่านไปหลายเดิอน แตบยังแอ๊บใช้ชีวิตเด็กเรียบร้อยเรื่อยมา
ปกติทุกเย็นหลังเลิกเรียน แตบต้องวิ่งไปเก็บกระเป๋าและเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อนจะย้อนกลับมาช่วยพ่อปิดประตูหน้าต่างอาคารเรียนให้เรียบร้อย ถึงจะออกไปวิ่งเล่นทะโมนอยู่เพียงลำพังตามประสาเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูงได้ นานๆถึงจะไปเล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้าง แต่เล่นได้ไม่นานหรอกค่ะ(ไม่สนุกเหมือนเล่นคนเดียว..แปล๊กแปลก)บริเวณหลังโรงเรียนจะเป็นอดีตไร่ข้าวโพดของแม่ พอเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วแม่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเนื่องจากเป็นช่วงฤดูแล้งพอดี ช่วงนี้เองค่ะที่มีหญ้าขจรขึ้นคลุมพื้นที่จนรกท่วมไปหมด แตบมักไปวิ่งเล่นในดงหญ้าบ่อยๆ(ใช้คำว่า "ใน" เนื่องจากต้นหญ้าสูงท่วมหัว) ยิ่งถ้าเป็นหน้าแล้งจะสนุกมาก เพราะต้นหญ้าแห้งตายเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา ยิ่งทำให้โลกแห่งจินตนาการของเด็กบ้านนอกช่างฝันอย่างแตบเพริศแพร้วหลายเท่าทวีคูณ
กระทั่งเย็นวันหนึ่งในช่วงฤดูแล้ง แตบก็มีโอกาสรู้จักทักทายเจ้าพืชชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "หมามุ่ย" ดูเผินๆหน้าตาก็คล้ายๆกับถั่วบางชนิดนั่นแหละค่ะ ผิดกันตรงที่ว่า หมามุ่ยจะมีขนหนาสีน้ำตาลทองขึ้นคลุมบริเวณเปลือกฝักคล้ายขนกำมะหยี่ ดูนุ่มนวลชวนสัมผัส แต่ถ้าเผลอเข้าไปแตะหล่อนเมื่อไหร่ มีหวังคันคะเยอโลกแตกข้ามวันไปเลย โชคดีมากๆที่แตบเคยดูหนังเรื่อง "หมามุ่ย" มาก่อน จึงระวังตัวได้ทัน
เย็นวันนั้นแตบก็คิดแผนการณ์แก้เผ็ดครูประจำชั้นได้สำเร็จ "อิอิ..คราวนี้แหละ เจอแน่!" แตบยิ้มย่องอย่างสะใจ แล้วบรรจงเก็บหมามุ่ยพวงใหญ่กลับออกมา แน่นอนค่ะ แตบไม่ลืมที่จะแอบชะแว๊บเข้าชั้นเรียนอย่างระมัดระวังตัวพร้อมหมามุ่ยพวงใหญ่พวงนั้น โชคดีที่ช่วงเย็นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" อยู่ในโรงเรียนเลยสักคน และโชคดีมากๆที่ห้องเรียนของแตบไม่มีกุญแจล็อกเอาไว้ เวลาเปิด-ปิด ก็แค่ออกแรงดันปานประตูหน่อย แล้วล้วงมือเข้าไปถอดกลอนด้านในได้เลย
เป้าหมายโจมตีของแตบอยู่ที่โต๊ะ-เก้าอี้ของคุณครูทนงศักดิ์ครูประจำชั้นที่หวดก้นแตบจนเลือดซิบนั่นเองค่ะ พอเข้าไปในห้องเรียนได้แตบก็บรรจงลากพวงหมามุ่ยไปบนโต๊ะ-เก้าอี้ของครูจนทั่ว เท่านั้นไม่สาแก่ใจ มันต้องเปิดสมุดหนังสือของครูออกมาโปรยขนหมามุ่ยลงไปด้วย จากนั้นก็ที่แปรงลบกระดานประจำตำแหน่งอีกหน่อย คราวนี้ก็ถึงตาอีนัง "บุญหนา" เพื่อนกะเทยเด็กหัวโปกคนสนิท ที่เผลอยิ้มเยาะสะใจตอนที่แตบถูกครูตี แล้วก็ต่อด้วยโต๊ะของ ด.ช.บุญเรืองตาเหลือก,ด.ช.สุวรรณหัวโตและ ด.ช.นพดลทอดไข่(นามสกุลเธอ "ทอกไข" แต่เพื่อนๆเรียก "ทอดไข่") เมื่อหนำใจแล้วแตบก็กลับออกมาโดยไม่ลืมที่จะแวะข้างทางเพื่อซุกห่อหมามุ่ยเอาไว้ใช้งานอีก ลืมบอกไปนิดส์นึง เด็กชาย 3 คนสุดท้ายที่เอ่ยมานั้น ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้แตบหรอกค่ะ แต่แตบรู้สึกว่าพวกเธอคงจะ "แอบด่าแตบในใจบ่อยๆ" เท่านั้นเอง อิอิ
วันรุ่งขึ้น "ครูทนงศักดิ์"เกิดอาการท้องเสียรุนแรงจึงลาป่วยกระทันหัน "ครูวชิระ" หรือพี่ครูอี๊ดจึงรับหน้าที่มาสอนแทน(เรียกพี่เพราะสนิทกับครอบครัวของแตบมาก) ด้วยความที่ว่าแตบตื่นสายเป็นอาจิณจึงเข้าห้องเรียนช้ากว่าคนอื่นเสมอ พอมาถึงห้องเรียน ก็เห็นเพื่อนๆทั้ง 4 คนเกากระจายเป็นหนุมานไปแล้ว โดยเฉพาะ "นังบุญหนา" ที่แตบโปรยขนหมามุ่ยบนที่นั่งของเธอมากเป็นพิเศษ เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆต่างห้อมล้อมพวกที่โดนพิษหมามุ่ยด้วยอาการเป็นห่วงอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ด้วยความที่กลัวคนสงสัย แตบจึงแอ๊บเนียนเข้าไปแสดงอาการเป็นห่วงบ้าง ไม่นานครูอี๊ดก็เข้าห้องเรียนมาพบความผิดปกตินี้ พอเห็นท่าไม่ดีครูจึงส่งเด็กทั้ง 4 กลับบ้านไป แตบมองเห็นผิวหนังของเพื่อนแต่ละคน บวมแดงไปทั่วตัวจนน่าตกใจ รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีแต่อีกใจก็สะใจอย่างบอกไม่ถูก จะด้วยอารามตกใจไม่เปล่าไม่รู้ที่ทำให้พี่ครูอี๊ดไม่ทันเฉลียว เธอหย่อนก้นลงนั่งบนโต๊ะครูอย่างไม่ทันระวังตัว และแล้วเธอก็โดนพิษหมามุ่ยของยัยแตบตัวแสบไปแบบเต็มๆ เพื่อนๆคนที่เหลือรวมทั้งแตบเองก็ใช่ว่าจะรอดนะคะ โดนลูกหลงจากพิษร้ายแสนคันไปด้วยเช่นกัน แต่จะแค่คนละนิดคนละหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนคนที่แตบไม่อยากให้โดน แต่ก็ต้องโดนนั่นคือ"พ่อของแตบ" ที่ต้องมาทำหน้าทีกำจัดขนหมามุ่ยออกจากห้องเรียนนั้นเอง แตบได้แต่มองพ่อด้วยความสงสารและเป็นห่วงอยู่เงียบๆ(รู้สึกผิดบาปเหลือเกิน)
เป็นอันว่าวันนั้นทั้งวัน ห้องเรียนชั้น ป.4/2 ของเราวุ่นวายโกลาหลจนไม่เป็นอันเรียนเลยทีเดียว ครูใหญ่ทราบเรื่องถึงกับลงมาสอบสวนเรื่องราวด้วยตัวเอง เมื่อรู้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อาการคันของพี่ครูอี๊ดกับเพื่อนๆทั้งสี่คนนั้นเกิดจากการแพ้พิษหมามุ่ย ครูใหญ่ถึงกับโมโหชนิดที่ว่าลมออกเลยทีเดียว หน้าตาแดงก่ำ ดุดันน่ากลัวที่สุด แต่ในเมื่อเด็กทุกคนรวมทั้งแตบปฏิเสธ ครูใหญ่จึงลงมือเฆี่ยนทุกคนยกชั้น ชนิดไม่ปราณีเลยทีเดียว
สรุปแล้วความวุ่นวายโกลาหลครั้งนั้น มันเกิดจากความแค้นส่วนตัวของเด็กตัวเล็กๆที่ชื่อแตบเท่านั้นเอง..รู้สึกแย่ย้อนหลังจังเลยค่ะ
ปล.ขอบคุณภาพประกอบของคุณเพรางามและอีกภาพจากเวบแห่งหนึ่งมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ บังเอิญแตบลืมชื่อเวบไซต์ของท่านไปแล้ว คงไม่ถือโทษนะคะ จุ๊บๆค่ะ
2 ความคิดเห็น:
สวัสดีครับ พี่แตบ
แหมวัยเด็กนี่ร้ายไม่เบานะครับ โตขึ้นยังร้ายเหมือนเดิมหรือป่าวคับ หรือ เป็นเท่าทวีคูณ ยังไงก็เพลาๆลงหน่อยนะครับ ณะชะ เป็น ห่วงสุขภาพเด๊ยวคสวามดันจะสูง (ฉววเล่นนะคับ)ชอบอ่านเรื่องราวสนุกๆของพี่นะครับ ถ้าเป็นนักเขียนคงได้รางวัลซีไรท์ แน่นอน เพราะดูจากภาษาการเขียนแล้วนักเขียนบางคนยังอายเลย ทำให้นึกถึงอดีตสมัยเด็กๆของตัวเองไม่ได้ แต่ผมจะตรงข้ามพี่แตบ นะ คือ เรียบร้อยเหมือนผ้าพับใว้ แถมรีดอีกด้วยนะ ไม่มีอะไรโลดโผนเลย ตราบจนทุกวันนี้เวลาไปใหนใครก็จะชอบบอกว่าทำไมเรียบร้อยจัง พี่แตบช่วยสอนการเป็นคนไม่เรียบร้อยหน่อยสิ ว่าต้องทำไงบ้าง อิอิอิ ใว้ว่างๆจะลองหาเรื่องสนุกๆมาเขียนให้พี่อ่านนะครับ และวจะติดตามผลงานการเขียนของพี่แตบอีกนะครับ บายยย
สวัสดีค่ะพ่อหนุ่มน้อยขาประจำ
อยากบอกว่าปลื้มใจมากเหลือเกินที่คุณน้องแวะมาอ่านเรื่องราวของพี่แตบบ่อยๆ(นี่แหล่ะค่ะเป็นกำลังใจที่ทำให้พี่เขียนเรื่องราวได้เรื่อยๆ..ขี้เกียจอ่านแล้วบอกนะคะ อิอิ)
แหมๆอย่าเพิ่งมองว่าพี่แตบร้ายกาจไปวันๆสิคะ สมัยเด็กๆน่ะร้ายกาจมากมายก็จริง แต่มันก็แค่ความร้ายของเด็กเกเรคนนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งมันอาจเป็นเพราะวุฒิภาวะยังไม่มีก็ได้มั้ง(แก้ตัวสุดริดดดดดดดดด) แต่เมื่อโตขึ้น หลังจากที่ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมมากขึ้น โลกกว้างใหญ่ขึ้น พฤติกรรมในวัยเด็กก็ปรับเปลี่ยนไปมากมาย ไม่อิจฉา และไม่แกล้งใครอีกเลย ถ้าจะแผลงฤทธิ์ก็มีอยู่ 2 กรณีหลักๆ คือ "สู้ในสิ่งที่เราและคนที่เรารักถูกรุกราน" และ "วีนแตกเมื่อเห็นสิ่งไม่ถูกต้อง" เท่านั้นเอง แต่แปลกนะคะสมัยเด็กๆนี่ถ้าไม่พอใจกันก็ท้าตีท้าต่อยให้รู้แพ้-ชนะไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาคิดมากมาย ไม่เหมือนตอนโต ที่เราจะมักจะถูกทำร้ายด้วยพลังงานที่มองไม่เห็นตัวบ่อยๆ บางครั้งเราก็เอาตัวรอดมาได้ แต่บางครั้งก็ต้องเจ็บตัวได้เหมือนกัน(จิตใจคนยากแท้หยั่งถึงไงคะ)
การเป็นคนเรียบร้อยอย่างน้องมีข้อดีมากมาย ใครเห็นใครก็รักใคร่ชื่นชม(แต่ไม่รวมถึงพวกเสแสร้งแกล้งทำนะจ๊ะ)
ถ้าจะให้พี่แนะนำพี่ว่าเป็นอย่างที่เราเป็นน่ะดีแล้วนะคะ แต่อย่ายอมให้ใครมารังแกได้ฟรีๆ ต้องรู้จักปกป้องตัวเองในสิ่งที่ควรปกป้องเท่านั้นพอ คนเราทุกคนมีเลือดนักสู้อยู่ในตัวเหมือนๆกันทุกคน แต่ต่างกันตรงที่ ใครจะยับยั้งชั่งใจได้มากว่ากัน ชีวิตคือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับมัน พี่เองอาจจะเหมาะกับเรื่องโลดโผนโจนทะยาน ในขณะเดียวกันน้องอาจจะเหมาะกับชีวิตเรียบง่าย มันขึ้นอยู่กับว่าทำยังไงเราถึงจะมีความสุขกับมันได้เท่านั้นเอง
ยังไงก็ทะยอยเขียนเรื่องลงบล็อกนะจ๊ะ เริ่มจากเรื่องสั้นๆง่ายๆเกี่ยวกับสิ่งที่ใกล้ตัวของเราก่อน จะทำให้เขียนได้ง่ายขึ้น ส่วนจะดีหรือไม่ดีก็อย่ากังวล เพราะคนอ่านบางคนเขาให้ความสำคัญของ "เนื้อหา " มากว่า "วิธีการ" แล้วพี่จะตามไปอ่านแน่นอนค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ พี่รู้ตัวดีว่ายังเป็นมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้และพัฒนาอีกมากมาย ขอบคุณมากๆอีกครั้งที่สละเวลามาอ่านเรื่องราวของพี่ค่ะ
ปล.ทุกเหตุการณ์ในนี้เป็นเรื่องจริง 100% นะคะ..ขอบอก!
แสดงความคิดเห็น