วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นิทานของแม่

หลังจากที่อ่านบทความแต่ละตอนของแตบจบ หลายคนคงนึกตั้งคำถามอยู่ในใจนะคะว่า "ทำไมยัยแตบถึงเกเรจัง แล้วพ่อ-แม่ไม่สั่งสอนลูกหรือ?" ต๊าย..แรงนะยะ! แต่เปล่าหรอกค่ะ อันนี้ไม่ว่ากันจริงๆ แต่แตบขอบอกเลยนะคะว่า ท่านทั้งสองอบรม-สั่งสอนลูกดีมากๆ โดยเฉพาะแม่ของแตบ(ถึงจะมีความรู้แค่ ป.4 แต่แม่ก็มีทักษะการสอนลูกได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าลูกทำตัวไม่ดีเองแหละ อิอิ)

 ในบรรดาลูกๆทั้ง 8 คนนั้น แตบเป็นคนที่ใกล้ชิด สนิทสนมกับแม่มากที่สุด ถึงแม้จะมีความรู้สึกว่า ท่านจะเอาใจพี่ชายคนเล็กมากกว่าแตบก็ตาม แต่แตบก็รักแม่มากๆ เรียกได้ว่าเห็นหน้าแม่ที่ไหน จะต้องเห็นแตบที่นั่น แม่คิดอะไรยังไงแตบรู้หมด แต่ก็มีบ่อยครั้งนะคะ ที่เราโกรธงอนกันเป็นเด็กๆ บางครั้งไม่พูดกันเกือบข้ามสัปดาห์เลยแหละ ด้วยความที่แตบใกล้ชิดแม่และพี่สาวมาตั้งแต่เด็กนี้มั้งคะ ที่ทำให้แตบเกิดอาการแต๋วแหววอย่างไม่รู้สึกตัว แม่ของแตบมักสอนลูกด้วยการเล่าประสบการณ์ชีวิต สลับกับการเล่านิทานสอนใจให้ลูกๆฟัง แม่มีเรื่องเล่ามากมาย โดยเฉพาะนิทานแนวสอดแทรกคติสอนใจ จบแล้วก็จะทิ้งท้ายด้วยคำว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.." ทุกครั้งไป นี่เป็นกุศโลบายที่จะปลูกฝังให้ลูกๆของแม่เป็นคนดีค่ะ แตบเองก็จำขึ้นใจและนำไปปฏิบัติตามโดยดี แต่ธรรมชาติของเด็กแก่นแสนซนอย่างแตบก็ไม่วายที่จะเผลอเดินออกลู่นอกทางบ่อยๆ หากถึงขั้นเกเรหนัก เมื่อแม่จับได้ก็จะลงโทษทันที การลงโทษของแม่ก็คือหวดด้วยไม้เรียวค่ะ(ทำจากไม้ไผ่ซีกหนาๆแบนๆ..ตัวไม้อ่อนยวบยาบแต่แน่นเหนียวทนทานสุดริดดดดดดดดดดด)เวลาที่แม่ตีแต่ละครั้ง ก็จะฟาดแบบไม่ยั้งมือเลยทีเดียว ถึงแตบจะไม่ยอมหยุดนิ่งให้ท่านตีได้ง่ายๆ แต่ท่านก็หาทางไล่หวดแตบจนสำเร็จทุกครั้งไป โดนไม้เรียวของแม่ทีไรมันแสบสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเลยค่ะ ผิดกับพ่อที่แม้จะดุและตีพวกพี่ๆ แต่ท่านก็ไม่เคยตีแตบเลย อดถามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมตอนเด็กๆแตบถึงได้รักแม่มากว่าพ่อหลายเท่าตัวอย่างนั้น?

 เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว แม่กับพี่สาวคนเล็ก(คนที่ชอบแต่งหน้าไปเลี้ยงควาย) พาครอบครัวมาเยี่ยมแตบ เพื่อชื่นชมบ้านหลังแรกที่แตบซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พี่สาวของแตบตื่นเต้นดีใจออกนอกหน้า ในขณะที่แม่ได้แต่ยิ้มๆ แต่ถึงแม่ไม่พูดอะไรแตบก็เดาออกค่ะว่าแม่มีความสุขมากแค่ไหน ท่านคงภูมิใจที่แตบก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยสองมือเปล่าๆของแตบกับสามีนั่นเอง ช่วงเย็นวันเดียวกัน พี่สาวกับครอบครัวก็ขอต้วกลับ แตบขอให้แม่อยู่ต่อสักระยะ ท่านก็ตกลง แต่ด้วยความที่กลัวเหงา ท่านจึงขอเหลนชายตัวน้อย(ลูกของหลานสาว)ให้อยู่เป็นเพื่อน ช่วงที่ฟ้ายังพอมีแสงสว่างอยู่ก็ดีหรอกค่ะ แต่พอตะวันตกดินแล้วเจ้าเหลนชายตัวน้อยเริ่มงอแง และแหกปากร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปลอบทั้งดุก็ไม่ยอมหยุดสักที แม่จึงบอกเหลนมานอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟัง ตอนท้ายเรื่องของนิทาน แม่ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.."สักพักเจ้าเด็กตัวน้อยก็เงียบกริบก่อนจะผลอยหลับคาตักไป แอร๋ยยยยยยยยยยยยยยยยยย! แตบเห็นภาพนั้นแล้ว ต่อมน้ำตาก็เริ่มทำงานทันทีเลย

 ..นานแล้วค่ะที่แตบเผลอลืมเลือนคำสอนสั่งจากนิทานของแม่ไป นี่ถ้าแตบนำมันมาปรับใช้ควบคู่กับการดำรงชีวิตในปัจจุบันนี้ได้ แตบคงจะเป็นคนดีมากๆคนหนึ่งของประเทศไทยแน่นอน..จริงๆนะคะ

4 ความคิดเห็น:

memorry กล่าวว่า...

ไม่ค่อยหนาวค่ะ พอเย็น ๆ ที่บ้านตอนนี้ก้อคง 20 องศาค่ะ แต่อาทิตย์ก่อน ประมาณ 15-18 อ่ะ หนาวโคตร
แต่ยอดดอยคง 0 องศา ^__^

memorry กล่าวว่า...

จริง ๆ ด้วย 555+
ขอบคุณนะคะ สงสัยจะหิวข้าวจนตาลาย อิอิ

nachaphatk กล่าวว่า...

ใช่ครับพี่แตบ ยังมีแม่ๆอีกหลายคนที่สมควรได้รับการยกย่อง รวมทั้งคุณแม่ของผมด้วยนะ แต่ถึงพวกท่านทั้งหลายจะไม่ได้รับรางวัลการันตีควมาดีเด่นอะไรจากสังคมแต่ รางวัลที่ท่านได้รับจากลูกๆ ท่านก็ภูมิใจแล้วครับ
ส่วนนิทานที่แม่และยายเคยเล่าให้ฟังก็มีที่น่าจดจำไม่กี่เรื่อง เพราะมีแต่ ตำนาน การก่อตั้งหมู่บ้าน ตำนานการเจอผี ซึ่งฟังไปกลัวไป ไม่รุ้เรื่องจริงหรือเท็จ แต่ชอบฟัง

Madame Tabb กล่าวว่า...

นอกจากเล่านิทานสอนใจลูกๆแล้ว แม่ยังชอบเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความรู้รอบตัวด้วยนะคะ(แม่จบป.4 แต่ก็ชอบอ่านหนังสือจึงมีความรู้)