อาจเพราะช่วงนี้แตบมีเรื่องให้คิดเยอะไปหน่อยมั้งคะ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี มันมากมายพอๆกัน เลยทำให้แตบต้องหันมาก้มหน้าก้มตาปั่นงานเขียนออกมาอย่างถี่ยิบขนาดนี้ เพื่อที่จะได้คิดเรื่องไร้สาระให้น้อยลง(ใครอ่านไม่ทันก็ปริ้นท์ออกมารวบรวมไว้นะคะ อนาคตอาจใช้ถมที่ได้ อิอิ)
ครอบครัวแตบเคยได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเศรษฐีประจำหมู่บ้านมาก่อนค่ะ(ย้ำว่าเคยนะคะ) เนื่องจากทั้งพ่อและแม่ต่างขยันขันแข็ง ตั้งใจทำมาหากิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี ท่านทั้งสองถูกพ่อตา-แม่ยายและญาติๆขับไล่ให้ออกไปกัดก้อนเกลือกินเอาดาบหน้ามาก่อน พ่อกับแม่ของแตบเรียนจบแค่ ป.4เท่านั้นเองค่ะ และอาชีพที่ท่านทำได้ดีที่สุดก็คือการเป็นเกษตรกร หรือ ทำไร่-ทำนา เหมือนคนชนบททั่วๆไป แต่ด้วยความที่ท่านทั้งสองมีเลือดนักสู้จอมทรนง ท่านจึงไม่เคยยอมแพ้อุปสรรคชีวิต กลับกัดฟันต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน ช่วยกันหักร้างถางพง(ใช้คำถูกหรือเปล่าเนี่ย?)เพื่อจับจองที่ทำกินได้หลายร้อยไร่จนกระทั่งสร้างฐานะได้สำเร็จ ไม่ช้าไม่นานญาติๆที่เคยคว่ำบาตรก็กลับมาแวะเวียนเยียนเยี่ยมจนหัวกระไดบ้านไม่แห้ง ถึงแม้ตอนนั้นแตบจะยังเด็กมากก็ตาม แต่แตบก็อาศัยความแสบซ่าส์ของตัวเองสืบรู้ความจริงมาได้มากมาย และทุกครั้งที่มีญาติๆตัวแสบมาเยี่ยม แตบยังเคยกลั่นแกล้งคนพวกนั้นบ่อยๆเลยค่ะ เป็นต้นว่า แอบเอาเกลือแกงผสมน้ำดื่มไปเสริฟ(ผสมจนเค็มปี๋บาดไส้)หรือไม่ก็จะแกล้งจับรองเท้าโยนเข้ากอไผ่หนามกอใหญ่ๆ แต่ที่แสบที่สุดก็คือปล่อยหมาไล่กวดจนโกยแนบไม่เป็นท่านั่นเอง ฤทธิ์เดชของแตบเป็นที่เลื่องลือในหมู่ญาติมิตร จนหลายคนเข็ดขยาดไม่กล้ามากินสะตอบอแร๋ที่บ้านแตบอีกเลย
แต่ด้วยความที่พ่อมีลูกมากถึง 8 คน(หญิง 4 ชาย 3 และไม่ระบุอีก 1)พ่อจึงต้องเลือกที่จะส่งเสียให้เรียนต่อเฉพาะลูกเพศผู้เท่านั้น ส่วนลูกสาวก็จับมาทำไร่ไถนาตามยถากรรมสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้กับบรรดาลูกสาวทั้ง 4 ไปตามๆกัน ช่วงนี้เองค่ะ ที่พ่อเลิกทำอาชีพการเกษตรแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูกจ้างประจำ(ภารโรง)ของโรงเรียนในหมู่บ้านแทน เพื่อที่ว่าในอนาคตลูกๆจะได้เบิกค่าเล่าเรียนและค่าสวัสดิการต่างๆได้นั่นเอง แต่แม่ก็ยังทำไร่-ทำนาตามปกติ ปีที่พ่อปรับเปลี่ยนอาชีพนี้ เป็นปีที่แตบมีอายุครบเกณพฑ์เข้าเรียนพอดี พ่อกับแม่จึงต้องพาแตบกับพี่ชายคนรองอีก 2 คนย้ายไปปลูกบ้านอีกหลังอยู่ในบริเวณโรงเรียน ส่วนบ้านหลังเดิมนั้น พ่อยกให้พี่ชายคนโตและพี่สาวคนรองอีก 2 นางดูแลร่วมกันไป(พี่สาวคนโตอีก 2 คนแต่งงานแยกครอบครัวไปหลายปีแล้ว) ด้วยความที่ว่าพี่สาวคนรองทั้งสองของแตบยังอยู่ในระยะเริ่มสาว พ่อเห็นว่ายังไม่ได้รับผิดชอบภาระอะไรมากมายจึงมอบหมายให้พวกเธอมีหน้าที่เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ"เลี้ยงควาย" ซึ่งตอนนั้นครอบครัวของแตบมีควายฝูงใหญ่อยู่ฝูงหนึ่งค่ะ พี่สาวคนรอง 2 คนที่พ่อมอบหมายให้ทำหน้าที่ "ดูแลฝูงควายประจำตระกูล" มักมาบ่นกระเง้ากระงอดกับพ่อ-แม่อยู่บ่อยๆว่าควายเยอะจนดูแลไม่ทั่วถึง ดังนั้นเสาร์อาทิตย์ทีไรเธอมักจะมาขอแรงให้แตบไปช่วยเธอบ้าง แต่พี่สาวทั้งสองของแตบก็แสบไม่เบาค่ะ วันไหนที่แตบไปช่วย เธอก็มักจะแกล้งขอตัวกลับไปทำธุระที่บ้านทั้งคู่บ่อยๆ หายไปตั้งแต่สาย กว่าจะโผล่หน้ามาอีกทีก็ตะวันจวนเจียนจะตกดินอยู่รอมร่อ และทุกครั้งที่พวกเธอกลับมาจะต้องโบ๊ะหน้าซะสวยฉ่ำ ราวกับไม่ได้มาเลี้ยงควาย แต่เหมือนกำลังจะไปขึ้นเวทีประกวดมิสอะไรสักอย่างตามงานวัดยังไงยังงั้น แตบแอบไปฟ้องพ่อ กับแม่บ่อยๆ และพี่ๆก็ถูกสวดไปตามระเบียบ(แต่พวกเธอก็ไม่เคยเข็ดค่ะ) ก่อนนี้แตบสงสัยมาตลอดว่า ทำไมพวกพี่สาวต้องถ่อเข้าไปแต่งหน้าทาปากถึงที่ในหมู่บ้าน ทั้งๆที่เธอก็แต่งเอง ทำไมไม่พกเครื่องสำอางไปเลี้ยงควายด้วยเลย แต่แล้วแตบก็สืบทราบมาว่า ที่พวกเธอพร้อมใจกันหายเข้าไปในหมู่บ้านครั้งละนานๆนั้น เป็นเพราะแอบนัดกับหนุ่มๆไว้นั่นเอง ด้วยความหมั่นไส้และแค้นเคือง วันหลังแตบจึงแก้เผ็ดพวกเธอด้วยการแกล้งผูกเชือกควายหลวมๆ เพื่อที่ว่าควายจะได้วิ่งเตลิดหนีไปได้ง่ายๆ แต่ผลมันออกมาดีเกินคาดค่ะ เพราะแทนที่ฝูงควายจะหนีไปกินหญ้าในระแวกใกล้เคียงที่ตามหาได้ง่ายๆ แต่กลับพร้อมใจกันวิ่งข้ามป่าข้ามเขาเป็นสิบๆลูก กว่าจะตามเจอได้ก็ต้องใช้เวลาข้ามวันข้ามคืนไปเลย งานนี้พวกพี่ๆโดนพ่อไล่หวดไปตามๆกัน เวลาพ่อตีลูกพ่อจะฟาดไม่ยั้งมือเลยทีเดียว แตบเองก็อดเสียวไส้ไม่ได้ เกรงว่าจะโดนหางเลขไปด้วย แต่โชคดีที่พ่อไม่เคยตีแตบเลยสักครั้ง งานนี้เลยรอดตัวไป พี่สาวสองคนของแตบได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กันคนละมุม แตบไม่รู้จะปลอบอะไรเธอดีนอกจากกระซิบเบาๆว่า "สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ" ถ้าแตบเป็นพี่สาว แตบคงตบปากเด็กแสบคนนี้ให้ฟันหลุดไปแล้วล่ะค่ะ
พอแตบโตขึ้นมาอีกหน่อย(แต่ยังอยู่ในวัยประถม)จำนวนควายในครอบครัวของแตบเริ่มลดจำนวนลงจนเหลือไม่ถึง 10 ตัว การดูแลจึงไม่ยุ่งยากเหมือนตอนที่มีควายฝูงใหญ่ๆ ด้วยความที่พี่สาวทั้งสองที่เคยเลี้ยงควาย กำลังอยู่ในระหว่างหมั้นหมายเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว แตบจึงมักถูกยัดเยียดหน้าที่ให้เลี้ยงควายเพียงลำพังอยู่บ่อยๆ และบาปกรรมที่แตบเคยแกล้งพี่สาวเอาไว้คงจะตามมาลงโทษแตบแน่ๆเลย เพราะบ่อยครั้งที่แตบไปเลี้ยงควายคนเดียว ควายมักจะหลุดหายบ่อยๆชนิดที่หายยกฝูงเลยแหละ และหายไปแต่ละครั้งก็ข้ามวันข้ามคืนไปเลย สร้างความเอือมระอาให้พ่อ-แม่ และบรรดาพี่ๆไปตามๆกัน หลายคนต่างลงความเห็นว่าแตบแกล้งปล่อยให้ควายหนี ถึงแตบจะอธิบายยังไงก็ไม่เคยมีใครเชื่อคำพูดสักที
ด้วยวีรกรรมทำควายหายครั้งแล้วครั้งเล่านี่เอง ที่แตบถูกสั่งห้าม ไม่ให้เลี้ยงควายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..คิดๆแล้วเศร้าจังเลยค่ะคุณๆขา ฮิๆ
ปล.ปัจุบันครอบครัวของแตบไม่มีควายเหลือแล้วค่ะ
2 ความคิดเห็น:
ดีคับ พี่แตบ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่แนะนำให้ผมได้มีกิจกรรมยามว่างทำนะครับ แก้เหงาได้อีกแบบนึง ขอบคุณพี่แตบที่เป้นแม่แบบนะครับ แต่เรื่องของผมอาจดุไม่ตื่นเต้น นะครับ เพราะอยากเล่าเกี่ยวกับตัวเองก่อน ยังไงฝากพี่แตบแนะนำด้วยนะครับ **ขอคอมเม้นพี่แตบต่อนะครับ
แสบอีกแล้วนะครับพี่สาวเรา นึกถึงสมัยก่อนที่ควายของน้องก้เคยหาย รู้สึกว่าจะร้องให้หลายตลบคับ เสียดายกลัวมันไม่กลับ แม่ก็จ้างคนตามหาจนมืดค่ำ แต่เชื่อใหมครับพอละครจบ ไม่รู้ควมายทั้งฝูงของผมสามัคคีกันเนมาจากใหนไม่รู้เข้ามาที่ท้ายหมู่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ยอมคลาดสายตาจากพวกมันอีกเลย ขนาดมันพากันเข้าไปหากินในป่าช้าประจำหมู่บ้านน้องก้สวมหัวใจพระพยอมเข้าไปหาจนเจอ (เล่าแล้วขนลุกจริงๆ คับ )มีแต่เครื่องเว่นใหว้กลาดเกลื่อน แล้วไอ้ควายบ้ามันก็ไม่กลัวผีเหมือนเราด้วยสิ ไล่ยังไงก็ไม่ไป เข็ดเลยครับ นอกจากเฝ้าไม่ให้พวกมันหนีออกนอกลู่นอกทางแล้ว ที่สำคัญคือคอยดักไม่ให้มันเข้าไปหากินในป่าช้าเป็นอันขาด แต่เด๊ยวนี้ผมเชื่อว่าที่บ้านพี่แตบคงไม่มีควายให้เลี้ยงแล้วมั้ง เพราะผมเองก็ไม่มีแล้ว มันก็คงเป้นความทรงจำที่น่าจดจำนะครับ ***
เห็นน้องณชพัฒน์พูดถึงควายในป่าช้าแล้ว น่าสนใจดีจัง น่าจะหยิบเอาฉากที่ว่านี้มาต่อยอดเขียนได้อีกตอนนะจ๊ะ คงสนุกมากๆเลย
พี่ก็เคยเหมือนกัน ยิ่งตอนเด็กๆพี่จะกลัวผีมากๆ ถ้าควายวิ่งหายเข้าไปในนั้นทีไร อย่าหวังว่าพี่จะวิ่งตามไปไล่มันกลับออกมาเลย(หายก็หายไปสิ ก็คนมันกลัวนี่นา อิอิ)
แสดงความคิดเห็น