วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

มรสุม # 2

หลังจากถูกเลิกจ้างจากโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิทในปี 2540แล้ว แตบก็ว่างงานอยู่หลายเดือน ก่อนทีจะได้งานด้านโรงแรมอีกครั้ง เป็นโรงแรมหรูย่านสาธร(ที่เดียวกับที่ทำงานของแฟนแตบ) แต่งานที่ใหม่นี่แหล่ะคะ ที่มรสุมแห่งชีวิตลูกใหญ่กำลังรอแตบอยู่
 แตบเริ่มงานในตำแหน่งพนักงานรายวันของแผนกแม่บ้าน ถึงแม้จะได้ค่าแรงแค่เพียงครึ่งเดียวของพนักงานประจำและไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไรจะได้บรรจุ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่านอนมองเพดานห้องไปวันๆแน่นอนค่ะ อีกอย่างแตบอยากมีรายได้ประจำเพื่อจะได้ช่วยแฟนชดใช้หนี้สินที่มีอยู่ด้วย เมื่อทำใจยอมรับสภาพได้แตบก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองด้วยดีเสมอมา ถึงแม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของแตบกับแฟนจะไม่ได้สุขสบายมากมายแต่ก็เริ่มมีความหวังที่สดใสขึ้นเรื่อยๆกระทั่ง 6เดือนหลังจากนั้น มีตำแหน่งพนักงานประจำว่างลง 1 อัตรา แตบจึงได้รับโอกาสให้เข้าบรรจุแทน โดยมีกำหนดระยะเวลาทดลองงาน 120 วัน แต่เชื่อหรือไม่คะ..ว่ายังไม่ทันที่แตบจะพ้นเกณฑ์ทดลองงาน แฟนแตบก็ถูกเกณฑ์ทหาร และยังไม่ทันที่แตบจะทำใจกับเรื่องนี้ได้ แตบก็ต้องถูกไล่ออกจากงานหลังจากที่แฟนเดินทางไปเข้ารับการฝึกได้ไม่กี่วัน ด้วยข้อหา "แพะรับบาป" เนื่องจากเกิดการโจรกรรมในห้องพักแขกที่แตบดูแลรับผิดชอบอยู่(ทราบจากทางตำรวจเจ้าของคดี และฝ่ายรักษาความปลอดภัยของโรงแรมว่าทรัพย์สินที่หายไปมีมูลค่ารวมหลายแสนบาท) ถึงแม้แตบจะไม่ได้ขโมยแต่ทางโรงแรมก็ต้องหาคนรับผิดเรื่องนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นทางผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยจะต้องเดือดร้อนเสียเอง นี่ไงคะเหตุผลโง่ๆที่แตบต้องถูกโยนความผิดให้ ถ้าใครเคยเจอสถานการณ์เดียวกับแตบก็คงเข้าใจนะคะว่า "น้ำตาแพะ" มันเป็นอย่างไร?! จำได้ว่าวันที่แตบถูกไล่ออกจากงาน แตบมีเงินติดตัวเพียงหนึ่งพันเศษๆเท่านั้นเอง วันนั้นทั้งวันดูเหมือนว่าทุกอย่างในชีวิตมันหยุดนิ่งและมืดมิดไปเสียทั้งหมด คิดอะไรไม่ออกนอกจากร้องไห้ด้วยความแค้นใจและเสียใจอย่างที่สุด ชีวิตที่กำลังนับหนึ่ง สอง สาม และ สี่ ห้า ต้องกลับมาติดลบอีกครั้ง ทั้งๆที่แตบไม่ได้ทำความผิดอะไร

นับจากวันที่ถูกไล่ออกจากงาน แตบปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความสับสนเสียใจอยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ เมื่อรู้สึกดีขึ้น แตบจึงเริ่มคิดได้ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องจมอยู่กับสิ่งเลวร้ายอีกต่อไป แตบยังมีชีวิตของตัวเองให้รับผิดชอบ มีค่าใช้จ่ายและหนี้สินรอให้แตบต้องหาเงินมาชำระสะสางอีกมากมาย ดังนั้นแตบจึงกัดฟันลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ด้วยการตระเวนหางานตามข่าวรับสมัครในหนังสือไปทั่วไม่เว้นแต่ละวัน แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีที่ไหนรับแตบเข้าทำงานเลยสักแห่ง บ่อยครั้งที่แตบต้องทนหิวเป็นวันๆเนื่องจากไม่มีเงินกินข้าว ยิ่งใกล้ถึงกำหนดการจ่ายค่าเช่าห้อง แตบก็ยิ่งกังวลและคิดมากเป็นสองเท่า ช่วงนี้เองที่แตบเริ่มหยิบยืมเงินจากเพื่อนฝูงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเพื่อนฝูงกลุ่มนี้จะรู้จักคบหากับแตบได้ไม่นาน แต่หลายคนก็ให้ความช่วย เหลือแตบด้วยดี มีหลายคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนแตบเป็นระยะ ต่างกับเพื่อนที่ทำงานอีกแห่งที่ถึงแม้จะคบหากันมาช้านานแต่ในยามที่แตบถึงคราวลำบากบ้างกลับหาสิ่งที่เรียกว่า "น้ำใจ" ไม่ได้เลยสักหยด ในช่วงที่แตบกำลังอับจนหนทางนี้เอง ที่แตบได้รู้จักกับเพื่อนร่วมแผนกของแฟน เธอชื่อ"พี่ฉวีวรรณ" เป็นพนักงานตำแหน่งทำความสะอาดในโรงแรมที่แตบถูกไล่ออกนั่นเอง ก่อนนี้เราแทบไม่ได้พุดคุยทักทายอะไรกันมากนัก แต่หลังจากที่แตบตกงาน เธอกลับเป็นคนที่แวะเวียนมาให้ความช่วยเหลือกับแตบมากที่สุด มากเสียจนแตบต้องออกปากปฏิเสธไปนับครั้งไม่ถ้วนด้วยความเกรงใจ แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะช่วยเหลือแตบให้ได้และก็ช่วยมาโดยตลอดโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ

ในช่วง 3 เดือนแรกที่แตบกับแฟนไม่ได้ติดต่อสื่อสารกันเพราะงั่นไขของกองร้อยที่แฟนประจำการอยู่นั้น กำลังใจใหญ่หลวงจากเพื่อนที่ชื่อพี่ฉวีวรรณนี้แหละค่ะ ที่ทำให้แตบเข้มแข็งพอที่จะประคองชีวิตของตัวเองให้หยัดยืนต่อไปได้ ในชีวิตของแตบเคยมีผู้คนให้การดูแลอุ้มชูมามากหน้าหลายตา ต่างกรรมต่างวาระ แต่มีผู้หญิง 2 คนที่มีบุญคุณล้นเหลือกับแตบ คือแม่ ผู้ที่ให้ชีวิตและเลี้ยงดูแตบจนเติบใหญ่ กับพี่ฉวีวรรณ ที่เป็นเสมือนผู้ต่อชีวิตให้แตบได้มีลมหายใจในยามยาก แม้เธอจะเป็นเพียงพนักงานทำความสะอาดที่หลายคนมองไม่เห็นคุณค่า แต่น้ำใจของเธอประเสริฐเกินมนุษย์จริงๆค่ะ หลังผ่านพ้นช่วงฝึกหนัก 3 เดือนแรก ทางกองร้อยก็อนุญาตให้ทหารใหม่กลับไปเยี่ยมบ้านได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ปล่อยกลับทุกเสาร์-อาทิตย์ แฟนแตบจึงมีโอกาสกลับมาเยี่ยมแตบทุกสัปดาห์ และไม่ลืมที่จะให้เงินเดือนทั้งหมดในทุกๆเดือนกับแตบเพื่อเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่อไป ด้วยความช่วยเหลือจากคนรักและเพื่อนๆที่แสนดีนี้เองที่ทำให้แตบยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและเป็นภาระให้คนรอบข้าง แม้จะพยายามขนขวายหางานเท่าไรมันก็ไร้ผล นี่ถ้าไม่มีแตบอยู่เป็นภาระอีกต่อไป ชีวิตของคนรอบข้างก็คงจะดีขึ้นกว่านี้ไม่น้อย

เชื่อหรือเปล่าคะ?..ไม่มีวันไหนเลยที่แตบจะหลับตาลงได้สนิท ในสมองมีแต่เรื่องครุ่นคิดวุ่นวายเต็มไปหมด เหมือนบางครั้งมันจะระเบิดออกมานอกกะโหลกเสียให้ได้ นี่นะหรือ อดีตเด็กหญิงจอมแก่นแสนซนที่ชีวิตเคยเต็มไปด้วยความสุขสมหวัง..แล้วตอนนี้ เด็กหญิงคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ?

ปล.บอกคุณผู้อ่านก็ได้ค่ะว่าโรงแรม "เฮ็งซวย" ที่หาทางไล่แตบออกโดยที่แตบไม่ได้ทำความผิดชื่ออะไร.."โรงแรมเดอะสุโขทัย" ค่ะ

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

มรสุม

ว้า!..เกริ่นไว้แต่แรกว่าขอเวลาไปจัดสวนหลังบ้าน 2 วัน แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับกลายเป็น 4 วันซะนี่ อาจเป็นเพราะว่าแตบลงมือทำเองคนเดียวทั้งหมดก็ได้มั้งคะ จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะแตบชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเองอยู่แล้ว กว่างานจะเสร็จสิ้นได้ มือไม้แตบก็แตกบวมไปหมด มิหนำซ้ำยังได้อาการปวดเมื่อยเป็นของแถมมาอีกต่างหาก แต่เมื่องานเสร็จสิ้น และเห็นผลงานของตัวเองแล้วก็ภูมิใจมากมาย..แต่ว่ายังเหลือส่วนของสวนหน้าบ้านอีกนะคะเนี่ย (คงต้องรอสักพักใหญ่ๆ เพราะตอนนี้งบหมดแล้ว อิอิ)
..มาเข้าเรื่องตามชื่อตอนกันดีกว่านะคะ .......

เวลาที่เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความรัก,หน้าที่การงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เรียกว่า "ประสบความสำเร็จ" คุณผู้อ่านเคยแอบคิดตั้งคำถามหรือไม่ว่า "เขาคนนั้นประสบความสำเร็จได้อย่างไร?" แน่นอนค่ะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ย่อมต้องเคยผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายมาด้วยกันแทบทั้งสิ้น จะต่างกันที่ผ่านมามาก หรือ ผ่านมาน้อย เท่านั้นเอง แต่สำหรับแตบแล้ว ก่อนที่จะมีชีวิตรักในครอบครัวอบอุ่น+สุขสันต์ ได้อย่างทุกวันนี้ได้ แตบก็ต้องเผชิญ "มรสุมชีวิต" มามากมายเหมือนกัน มีหลายครั้งที่แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ว่า..แตบก็ผ่านมันมาได้ในที่สุด

 เมื่อปี 2540 (หลังจากที่แตบกับแฟนคนปัจุบันนี้ อยู่กินกันมาได้ระยะหนึ่ง)ประเทศไทยต้องเผชิญภาวะวิกฤติของเศรษฐกิจโลก(ปรากฏการณ์ฟองสบู่แตก) ด้วยภาวะของสถานการณ์เลวร้ายทางเสรษฐกิจนี้ ได้ส่งผลให้ทุกบริษัททั่วประเทศต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วนเพื่อความอยู่รอดของหน่วยงาน แตบเองในฐานะพนักงานดีเด่นของแผนกและของหน่วยงานในตอนนั้น ก็พลอยติดร่างแหไปด้วย แต่ด้วยความที่ก่อนจะถูกเลิกจ้างนั้น แตบกับแฟนใช้ชีวิตอย่างประมาทและเที่ยวสนุกสนานไปวันๆ จึงทำให้ไม่มีเงินเก็บติดตัวเลยแม้แต่บาทเดียว จะมีก็เพียงเงินจำนวน 2 หมื่นเศษๆที่แตบได้รับชดเชยจากการเลิกจ้าง ช่วงนั้นแฟนของแตบเองก็เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่ได้ไม่นาน กว่าจะถึงกำหนดรับค่าแรงก็ต้องรอในเดือนถัดไป ดังนั้นเงินชดเชยที่แตบได้รับมาจึงเป็นเงินก้อนเดียวและก้อนสุดท้ายที่จะต่อชีวิตให้เราสองคนได้สักระยะเท่านั้นเอง บรรยากาศวันสุดท้ายในการทำงานของแตบกับเพื่อนๆ เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยวเหลือเกิน ทุกอย่างดูหม่นหมองและชวนเศร้าไปเสียหมด พวกเราแทบไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น เพราะคิดว่าถึงจะทำไป กลุ่มผู้บริหารของหน่วยงานก็คงไม่มีทางเห็นคุณค่าถึงขั้นเปลี่ยนใจไม่เลิกจ้างพวกเราอยู่ดี วันนั้นเองที่"พี่แดง" หัวหน้างานคนหนึ่งที่ถูกเลิกจ้างด้วยเช่นกัน ได้เข้ามาพูดคุยปลอบใจและเตือนสติแตบว่า "ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้ายนะน้อง ถึงใครไม่เห็น แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจ" ใช่ค่ะ คำพูดของพี่แดงทำให้แตบสามารถกัดฟันทำหน้าที่ของตัวเองในวันสุดท้ายของการทำงานได้จนสำเร็จลุล่วงไปได้ในที่สุด หลังถูกเลิกจ้าง แตบกับเพื่อนๆร่วมชะตากรรมต่างก็ออกตระเวนหางานอยู่หลายวัน แต่การหางานในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นับวันเงินติดตัวของแตบยิ่งร่อยหรอลงเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่แตบแอบรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง และบ่อยครั้งที่ได้ยินคำพูดเยาะเย้ย ถากถางจากเพื่อนพนักงานที่ไม่ถูกเลิกจ้าง นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนแตบคงจะต่อยเจ้าพวกปากชั่วนั้นให้ล้มคว่ำไปแล้ว แต่ด้วยความที่แตบรู้จักยอมรับสภาพตัวเองได้ แตบจึงไม่ใส่ใจคำพูดในเชิงลบของคนเหล่านั้น ตรงกันข้าม แตบ กลับรู้สึกว่ามันเป็นยากระตุ้นชั้นดี ที่ทำให้แตบลุกขึ้นมาฮึดสู้ต่อไปซะด้วยซ้ำ ดังนั้นแตบจึงมุ่งมั่นตระเวนสมัครงานต่อไป สมัครไว้หลายที่แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ "เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป" และ "เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป" ซึ่งแตบเพิ่งมาทราบทีหลังว่า นี่เป็นการตอบปฏิเสธที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีเท่านั้นเอง ระยะเวลาหลายเดือนที่แตบตกงานอยู่นั้น แตบเริ่มเห็นสัจธรรมในข้อที่ว่า "มิตรแท้ มักจะเห็นได้ในยามยาก" ใช่ค่ะ สิ่งที่แตบเคยเรียกว่า "เพื่อน" ต่างหลบลี้หนีหน้าไปตามๆกัน บางคนเคยพูดจา-หยอกล้อสนิทสนมเมื่อสมัยเคยร่วมงาน กลับทำเฉยเมยเย็นชา เดินสวนทางก็แกล้งมองไม่เห็นเสียดื้อๆ บางคนก็พูดคุยกับเราด้วยอาการเร่งรีบคล้ายมีธุระจะต้องรีบไปในบัดดล ทั้งที่ก่อนแตบจะทักทายเธอก็ยังมีอาการนวยนารถทอดน่องอยู่เลย อิอิ แตบไม่โทษคนพวกนั้นหรอกนะคะ กลับจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำที่ทำให้แตบได้รู้จักคำว่า "มิตรแท้" และ "มิตรเทียม" ได้ดียิ่งขึ้น

 ด้วยความที่แตบเคยได้รับความเอ็นดูจากอดีตผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานที่เลิกจ้างมานั้น ช่วงที่แตบยังตกงาน ท่านก็เมตตาโทรศัพท์มาถามไถ่ทุกข์สุขเป็นระยะๆ พอทราบว่าแตบยังหางานไม่ได้ ท่านก็เมตตาจ้างแตบไปทำสวนให้ สัปดาห์ละครั้ง แต่ละครั้งแตบได้ค่าแรง 300 บาท แต่น่าแปลกใจเหลือเกิน ที่ 300 บาทของแตบในช่วงตกงานนี้ มันช่างเป็นเงิน 300 บาทที่แตบรักและเห็นคุณค่าอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอันว่า กว่าที่แตบจะได้งานใหม่ทำตามความถนัดนั้น แตบก็ต้องเดินทางไปทำสวนให้อดีตเจ้านายเป็นระยะเวลาหลายเดือนติดต่อกันเลยทีเดียว ถึงจะเป็นงานกลางแจ้งที่ทั้งเหนื่อยและหนัก แต่แตบก็ไม่เคยเกี่ยง เพราะอย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่แตบจะหาเงินมาสมทบเป็นค่าใช้จ่ายร่วมกับแฟนได้นั่นเอง

เรื่องราวที่เล่ามานี้เป็นเพียงบททดสอบชีวิตบทแรกสำหรับแตบเท่านั้นเองค่ะ เพราะหลังจากที่แตบได้งานแห่งใหม่แล้ว ชีวิตแตบต้องเผชิญ "มรสุมชีวิต" ลูกแล้วลูกเล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว..ติดตามอ่านในตอนต่อไปนะคะ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เนื้อคู่

นึกตัดสินใจในเรื่องที่จะเขียนอยู่ 2-3 วันค่ะ เนื่องจากแตบมีเรื่องเล่ามากมายเต็มสมองไปหมด มันเยอะแยะจนบางครั้งเลือกไม่ถูกเลย สุดท้ายแตบก็ต้องอาศัยพื้นฐานความเป็นศิลปินของตัวเองมาช่วยในการตัดสินใจ เพราะผลงานของศิลปินเกิดจากพื้นฐานของอารมณ์เป็นที่ตั้งนั่นเอง

 วันนี้อากาศช่วงเช้าๆเย็นสบายดีอีกแล้ว แตบจึงมีข้ออ้างในการตื่นสายได้ ตื่นมาก็เห็นสามีรดน้ำต้นไม้ และกวาดล้างหน้าบ้านแกร่กๆ(วันนี้วันหยุดของเธอ) ดีจังเลย นานๆจะเห็นสามีลุกขึ้นมาช่วยงานบ้านสักที เท่ากับว่าวันนี้แตบลดภาระงานบ้านไปได้ 2 อย่างแล้วล่ะ อิอิ ขณะที่แตบนั่งจิบกาแฟ พรางนั่งมองสามีทำงานบ้านไปนั้น แตบมองไม่เห็นอะไรมากมาย นอกจากผู้ชายอ้วนๆที่พุงกระเพื่อมตลอดเวลาที่เคลื่อนไหวไป-มาเท่านั้นเอง ว๊าย+กรี๊ดๆ! เท่านั้นค่ะงานนี้ ตายจริง ทำไมคุณเธอถึงได้อ้วนลงพุงมากขนาดนั้น ในขณะที่แตบยังผอมแห้งอยู่อย่างเก่า แต่คิดไปคิดมาก็ต้องทำใจค่ะ เพราะอีกเพียงแค่เดือนเศษๆ ก็จะถึงครบรอบ 13 ปีในการใช้ชีวิตร่วมกันของเราแล้ว พูดถึงมันก็นานพอที่สามีของแตบจะต้องถึงวัยแห่งการเปลียนแปลงทางกายภาพแล้วล่ะ ส่วนที่แตบยังมีน้ำหนักคงที่อยู่นั้นก็ถือเป็นความโชคดีส่วนบุคคลก็แล้วกันค่ะ

 จริงๆแล้วสามีแตบคนนี้ไม่ใช่คนแรกและคนเดียวหรอกค่ะ เพราะแตบเริ่มมีแฟนมาตั้งแต่อายุ 19 แล้ว แฟนคนแรกก็ทำให้อกหักครั้งแรกพร้อมๆกัน ตอนนั้นเสียศูนย์มากมายค่ะ เจอหน้าใครก็อดไม่ได้ที่จะพร่างพรูระบายความเจ็บช้ำให้ฟังอย่างไม่เลือกหน้า(คาดว่าผู้ฟังคงเซ็งแตกไปตามๆกันแน่นอน) แตบใช้เวลาทำใจอยู่นานร่วม 2 ปีเลยทีเดียว แต่พอตัดใจจากประสบการณ์อันเลวร้ายได้สิ้นซาก ทุกอย่างกลับโล่งสบายอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อหายดีแล้วก็อดไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปมองสิ่งที่เรียกว่า "ความโง่เง่าของตัวเอง" เออนะ..ความรักนี่ก็ทำให้คนคิดอะไรเพี้ยนๆได้เหมือนกัน ทั้งที่มันเป็นแค่นามธรรมเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแตบก็เฉยๆกับเรื่องความรักมาตลอด มีแฟนที่อยู่กินด้วยกันมาหลายคน คนละปี สองปี แต่แตบก็ไม่คาดหวังอะไร เพราะบอกตัวเองเสมอว่า "ถ้ามันใช่มันก็ใช่ แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็จะไม่ใช่" อีกอย่างเรื่องของความรักและเนื้อคู่มันก็เหมือนการซื้อหวยค่ะ บางคนดวงไม่ดี ต่อให้ซื้อทุกงวดๆละมากๆก็ไม่มีทางถูก ในขณะที่คนดวงดีซื้อแค่ตัวเดียวกลับถูกรางวัลเสียงั้น สำหรับแฟน(สามี)คนปัจจุบัน เราพบกันครั้งแรกในคืนส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่เมื่อเกือบ 13 ปีที่แล้วค่ะ คืนนั้นเพื่อนที่ทำงานของแตบชวนไปเที่ยวผับเกย์แห่งหนึ่ง ด้วยความที่แตบไม่เคยเที่ยวสถานที่แบบนี้มาก่อน บวกกับแตบเพิ่งเลิกรากับแฟนอีกคนไปหมาดๆ จึงอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่นึกเลยว่าการไปเที่ยวหย่อนใจครั้งนี้ของแตบจะทำให้มีโอกาสพบเจอกับสามีคนปัจจุบันได้ ทั้งๆที่วันนั้นเราพบเจอกันครั้งแรก และมีโอกาสทักทายกันไม่กี่คำ แต่สุดท้ายเราก็กลับไปค้างด้วยกันอย่างง่ายดาย พอตกรุ่งเช้าเธอก็ขอมาอยู่ด้วยทันที เล่นเอาแตบเกิดอาการเอ๋อรับประทานไปเลยค่ะ เนื่องจากไม่ทันตั้งตัวแต่อย่างใดนั่นเอง และที่สำคัญเรายังไม่ได้ศึกษานิสัยใจคอกันมาก่อนด้วยซ้ำ นี่ถ้าแตบปฏิเสธไปตั้งแต่ครั้งนั้น ก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ชีวิตแตบจะมีผู้ชายพุงพลุ้ยที่เดินไปเดินมาคอยทำงานหาเลี้ยงแตบเหมือนตอนนี้หรือเปล่าหนอ..??

 เรื่องราวชีวิตคู่ของแตบเป็นไปอย่างเปิดเผย และเป็นที่ยอมรับของครอบครัวทั้งสองฝ่ายค่ะ โดยเฉพาะครอบครัวของแตบซึ่งรักและเอ็นดูลูกเขยคนนี้(สามีของลูกชาย)อย่างมากมาย อันเป็นเหตุให้มีเกย์แอบจิตหลายคนในหมู่บ้านที่นำวิถีทางของแตบไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ทีละคนสองคน และไม่รู้ว่าทุกวันนี้ประชากรเกย์ในหมู่บ้านของแตบจะเพิ่มปริมาณขึ้นเป็นกี่คนแล้ว..เรื่องนี้อย่ามาโทษแตบนะคะ

ทุกครั้งที่แตบกลับบ้าน ตจว.พร้อมสามี เพื่อนเกย์ในหมู่บ้านก็มักจะแวะเวียนมาชื่นชม+ถามไถ่เคล็ดลับการครองเรือนกับแตบเสมอ แตบเองก็ไม่ได้แนะนำอะไรมากมายค่ะ เพราะเรื่องการครองรักมันเป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนและมีรูปแบบเฉพาะกับบุคคลนั้นๆแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ลืมที่จะย้ำว่า "คิดดี ทำดี จริงใจ และเข้าใจกันให้มากๆก็พอ" ส่วนผลลัพท์ที่เหลือหลังจากนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไป บอกแล้วไงคะ ว่าเรื่องเนื้อคู่ บางทีมันก็เหมือนกับการซื้อหวย และที่สำคัญ แตบอาจเป็นคนที่บังเอิญโชคดีถูกรางวัลเท่านั้นเองค่ะ อิอิ

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กล้วยไม้ป่าที่หายไป

ชีวิตจริงนอกจอคอมพิวเตอร์แล้ว แตบเป็นคนที่มีชีวิตเรียบง่าย รักความสงบแบบสันโดษ และชอบที่จะมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติมากค่ะ ถึงแม้ว่าบริเวณบ้านของแตบจะมีเนื้อที่อยู่น้อยนิด แต่แตบก็จะปลูกไม้ประดับจนรกครื้มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ภายในบ้าน แตบก็ตั้งวางกระถางต้นไม้ชนิดต่างๆทั่วทุกมุมจนเต็มไปหมด เวลาทำความสะอาดบ้านประจำวันจึงเต็มไปด้วยความยากลำบากพอสมควร แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ บ้านแตบทุกซอกทุกมุม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ความสกปรก" แน่นอน เนื่องจากว่า แตบเป็นคุณนายเจ้าระเบียบยังไงล่ะคะ
ไม้ประดับที่แตบปลูกอยู่ก็มีหลายชนิดค่ะทั้งบอนกระดาษที่ใบเท่ากระด้ง และสูงใหญ่ร่วม 2 เมตร(น่าภูมิจมากๆ),สาวน้อยปะแป้ง,พลูด่าง,จันทร์ผา ,จั๋ง และที่แตบจำชื่อไม่ได้อีกมากมายหลายชนิด ส่วนบริเวณหลังบ้านนั้น เป็นพื้นที่สำหรับกล้วยไม้ล้วนๆค่ะ แตบเป็นคนที่ "รักกล้วยไม้" มากๆ โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าทุกชนิด เรียกได้ว่าดูแลประคบประหงมสุดฤทธิ์สุดเดชเลยทีเดียว เจ้ากล้วยไม้ป่าที่หลังบ้านก็ไม่ทำให้ผิดหวังค่ะ เลี้ยงมาได้ไม่ถึง 2 ปี แต่ก็ผลัดกันทะยอยออกดอกมาให้ชื่นชมอย่างต่อเนื่อง พูดแล้วภูมิใจที่สุด เนื่องจากแตบไม่ได้ใช้ปุ๋ยเร่งดอกเหมือนที่คนปลูกกล้วยไม้ทั่วไปเขาทำกันเลย หลายครั้งที่มีคนถามว่า ทำไมไม่นำกล้วยไม้มาแขวนโชว์ที่หน้าบ้าน? แตบว่าไม่จำเป็นหรอกค่ะ ปลูกเก็บไว้ดูและชื่นใจเองดีกว่า มันก็เหมือนการทำความดีนั่นแหละ ถ้าเราทำดีเราก็รู้และมีความสุขของเราเอง จำเป็นด้วยหรือที่ต้องไปป่าวประกาศให้ใครรู้..จริงมั๊ยคะ?
เมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว แตบมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ ตจว.ค่ะ ด้วยความที่นึกถึงบรรยากาศตอนเข้าป่าเก็บกล้วยไม้สมัยเด็กๆ แตบจึงออกท่องไพรและปีนเขาตามประสาหญิงสาวผู้สดสวยแต่ซุกซน(ไปคนเดียว) ทั้งที่ไม่มั่นใจเลยว่าจะมีกล้วยไม้หลงเหลือให้เชยชมหรือไม่ เนื่องจากสภาพป่าเขาในปัจจุบันช่างแตกต่างกับเมื่ออดีตลิบลับ บริเวณที่เคยเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ได้กลายสภาพเป็นเทือกสวนไร่นาของชาวบ้านไปเกือบหมด ภูเขาที่เคยมีต้นไม้ใหญ่หนาแน่นก็ดูโล่งตาเหลือเพียงไม้เล็กหรอมแหรม จวนเจียนจะเป็นภูเขาหัวล้นเต็มที แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่วิตกจริงๆค่ะ ภูเขาในระแวกหมู่บ้านของแตบแทบไม่หลงเหลือกล้วยไม้ให้เห็นเลย ทั้งที่ครั้งหนึ่งในอดีต แค่เดินเข้าชายป่าท้ายหมู่บ้านจะพบเจอกล้วยไม้หลากหลายชนิดผลิดอกออกช่อท้าทายสายตาอยู่บนต้นไม้ไล่ลงมาถึงพื้นดินจนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นช้างกระ,เอื้องผึ้ง,เอื้องสาย,เข็มแสด,ม้าวิ่ง และอีกมากมายหลากหลายสายพันธุ์
เป็นอันว่า ระยะเวลา 1 สัปดาห์เต็มที่แตบดั้นด้นเข้าป่าหากล้วยไม้นั้น แตบได้หน่อกล้วยไม้ป่ากลับมาปลูกที่ กทม.เพียงไม่เท่าไหร่เองค่ะ และก่อนวันที่แตบจะเดินทางกลับ กทม.นั้น แตบได้พูดคุยกับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง จึงได้รู้ว่า มีพ่อค้าจาก กทม.มากว้านซื้อกล้วยไม้ป่าจากชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ได้กล้วยไม้กลับไปคราวละเต็มรถกระบะเลยทีเดียว ฟังคำบอกเล่านี้แล้วใจหายเหลือเกิน นี่แหละค่ะสาเหตุที่กล้วยไม้ป่าในหมู่บ้านของแตบหายไป คิดแล้วเศร้าใจกับความโลภของมนุษย์จริงๆ..เพื่อเงิน มนุษย์บางจำพวกสามารถทำได้ทุกอย่าง

วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ฮีโร่..เพื่อใคร?

ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีเลยค่ะ แก่แล้วยังไม่วายทำตัวเกเรอีก สาเหตุก็มาจาก การที่เห็นเพื่อนหรือคนที่เรารู้จักมักคุ้น และผู้คนรอบตัวถูกรังแกนั่นเอง ไม่รู้เป็นไง นะคะ ทั้งที่เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ แต่ก็อดใจไม่ได่ที่จะต้อง แถเข้าไปปกป้องทุกที แต่สงสัยปกป้องเกินเหตุไปหน่อย เลยพลอยทำให้ใครต่อใครเขามองเราแย่ไปตามๆกัน อดถามตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า "มันคุ้มแล้วหรือ?"

 อย่างที่แตบเคยบอกกล่าวไปแล้วนะคะว่า สมัยที่แตบยังเป็นเด็ก แตบชอบดูหนังแนวต่อสู้ ชนิดที่บู๊ดุเดือด มากเป็นชีวิต จิตใจ ยิ่งหนังเรื่องไหนที่พระเอก-นางเอกเป็นฮีโร่ด้วยแล้ว ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ ถึงแม้ว่าหนังจะจบไปแล้วแต่แตบก็ยังเก็บความประทับใจอันนั้นเอาไว้ไม่ลืมเลือน เป็นผลให้เกิดสัญญากับตัวเองในใจเรื่อยมา ว่าสักวันเราจะเป็นอย่างฮีโร่ในหนังให้ได้(ตามประสาเด็กๆ) จวบจนกระทั่งแตบเติบใหญ่เจริญวัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่อายุเกือบจะ 40 ในอีก ปีกว่าๆที่จะถึงนี้ แตบก็ยังไม่เคยลืมเลือนความรู้สึกภาคภูมิของการเป็นฮีโร่จากเมื่อครั้งยังเยาว์ได้ หรืออาจเป็นเพราะแตบมีสายเลือดนักเลงของพ่อ-แม่นะ ที่ทำให้แตบมีความ "สู้คน" มากเกินเหตุอย่างนี้

 วันนี้แตบตื่นเช้าเป็นวันที่สองในรอบเดือน(ปกติจะตื่นช่วงบ่ายแก่ๆ) อากาศช่วงต้นฤดูหนาวฉาบด้วยลมเย็นอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสะท้านได้เล็กๆ แต่ก็เย็นสดชื่นดี บรรยากาศตอนเช้าตรู่แถวบ้านแตบจะค่อนข้างเงียบสงบค่ะ ด้วยความเงียบสงบนี้เองมั้ง ที่ทำให้แตบมีสมาธิคิดทวบทวนพฤติกรรมที่ผ่านมาของตัวเองได้ คำถามต่างๆผุดขึ้นมากมายในสมอง แต่แตบก็ไม่สับสนหรอกค่ะ ค่อยๆใช้สมาธิที่มีอยู่จับเรียงลำดับ มาปะติดปะต่อกันที่ละข้อ สองข้อ ได้จนครบถ้วน จากนั้นก็ค่อยๆหาคำตอบให้กับตัวเองไป มิน่าล่ะคะ พระท่านถึงสอนว่า "สมาธิมา ปัญญาเกิด" ในที่สุดแตบก็ได้คำตอบในข้อที่ว่า "ฮีโร่..เพื่อใคร?" ใช่ค่ะ การเป็นฮีโร่ของพระเอก-นางเอกในหนังนั้น เพื่อช่วยเหลือปกป้องเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเดือดร้อน และ ถูกรังแก ให้ได้รับความปลอดภัย มีความสุขในการดำเนินชีวิตต่อไป แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันเป็นแค่เหตุการณ์สมมุติที่เกิดจากจินตนาการทั้งสิ้น ในขณะที่ชีวิตจริงของคนเรา มันคงยากที่เราจะไปช่วยใครต่อใครได้มากมายทั่วถึงอย่างนั้น เพราะเราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีแค่ 2 มือ เท่านั้นเอง แต่ต่อให้เราเก่งกาจสามารถแค่ไหน ก็ใช่ว่า ใครต่อใครจะเห็นดีเห็นงามในวิธีการของเราด้วย ดีไม่ดีเราจะกลายเป็นฝ่ายที่ทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อย่างน้อยๆก็ต้องมีคนถามว่า "เรื่องอะไรของเธอยะ..แส่อะไรด้วย?" ซึ่งถ้าเก็บมาคิดดูให้ดีแล้ว คำนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าการถูกตบหน้าด้วยรองเท้าเสียอีก และลองคิดดูในทางกลับกัน หากฮีโร่อย่างเราเป็นฝ่ายถูกทำร้ายบ้าง..จะมีใครกล้าหาญมาช่วยบ้างไหม?..อาจจะพอมี หรืออาจจะไม่มี ซึ่งนั่นก็หมายความว่า "คงหายากพอสมควร"

 อืมม์..จริงๆด้วยค่ะ หลายครั้งที่ผ่านมาแตบจะเป็นฝ่ายแส่ไปเอง ทั้งๆที่บางครั้งเราไม่เคยรู้ข้อเท็จจริงอะไรมาก่อนด้วยซ้ำ แต่เรากลับโดดเข้าไปต่อสู้ห้ำหั่นใครต่อใครอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลองคิดๆดูว่า หากเขาคนนั้นเป็นคนดีจริง มันก็ดีไป แต่หากเป็นคนที่ตรงกันข้าม ก็เท่ากันเราปกป้องคนผิด นอกจากสังคมจะรุมประณามแล้ว ไอ้เจ้าคนที่เรากำลังปกป้องอยู่นั้น คงแอบคิดเย้ยหยันเราอยู่เงียบๆว่า "โธ่เอ๊ย..นังโง่!" ก็เป็นได้

หากใครมีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกับแตบก็ลองเก็บเอาไปคิดดูนะคะ เผื่อจะได้คำตอบที่ดีๆให้กับตัวเอง ที่สำคัญ ถึงคุณจะเป็นฮีโร่ให้สังคมไม่ได้ แต่คุณก็ยังมีสิทธิ์เป็นฮีโร่ให้ตัวเองได้เสมอ เพียงแค่ คิดดี ทำดี และไม่เบียดเบียนใคร คุณก็มีคุณค่ามากพอแล้วค่ะ

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

นิทานของแม่

หลังจากที่อ่านบทความแต่ละตอนของแตบจบ หลายคนคงนึกตั้งคำถามอยู่ในใจนะคะว่า "ทำไมยัยแตบถึงเกเรจัง แล้วพ่อ-แม่ไม่สั่งสอนลูกหรือ?" ต๊าย..แรงนะยะ! แต่เปล่าหรอกค่ะ อันนี้ไม่ว่ากันจริงๆ แต่แตบขอบอกเลยนะคะว่า ท่านทั้งสองอบรม-สั่งสอนลูกดีมากๆ โดยเฉพาะแม่ของแตบ(ถึงจะมีความรู้แค่ ป.4 แต่แม่ก็มีทักษะการสอนลูกได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าลูกทำตัวไม่ดีเองแหละ อิอิ)

 ในบรรดาลูกๆทั้ง 8 คนนั้น แตบเป็นคนที่ใกล้ชิด สนิทสนมกับแม่มากที่สุด ถึงแม้จะมีความรู้สึกว่า ท่านจะเอาใจพี่ชายคนเล็กมากกว่าแตบก็ตาม แต่แตบก็รักแม่มากๆ เรียกได้ว่าเห็นหน้าแม่ที่ไหน จะต้องเห็นแตบที่นั่น แม่คิดอะไรยังไงแตบรู้หมด แต่ก็มีบ่อยครั้งนะคะ ที่เราโกรธงอนกันเป็นเด็กๆ บางครั้งไม่พูดกันเกือบข้ามสัปดาห์เลยแหละ ด้วยความที่แตบใกล้ชิดแม่และพี่สาวมาตั้งแต่เด็กนี้มั้งคะ ที่ทำให้แตบเกิดอาการแต๋วแหววอย่างไม่รู้สึกตัว แม่ของแตบมักสอนลูกด้วยการเล่าประสบการณ์ชีวิต สลับกับการเล่านิทานสอนใจให้ลูกๆฟัง แม่มีเรื่องเล่ามากมาย โดยเฉพาะนิทานแนวสอดแทรกคติสอนใจ จบแล้วก็จะทิ้งท้ายด้วยคำว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.." ทุกครั้งไป นี่เป็นกุศโลบายที่จะปลูกฝังให้ลูกๆของแม่เป็นคนดีค่ะ แตบเองก็จำขึ้นใจและนำไปปฏิบัติตามโดยดี แต่ธรรมชาติของเด็กแก่นแสนซนอย่างแตบก็ไม่วายที่จะเผลอเดินออกลู่นอกทางบ่อยๆ หากถึงขั้นเกเรหนัก เมื่อแม่จับได้ก็จะลงโทษทันที การลงโทษของแม่ก็คือหวดด้วยไม้เรียวค่ะ(ทำจากไม้ไผ่ซีกหนาๆแบนๆ..ตัวไม้อ่อนยวบยาบแต่แน่นเหนียวทนทานสุดริดดดดดดดดดดด)เวลาที่แม่ตีแต่ละครั้ง ก็จะฟาดแบบไม่ยั้งมือเลยทีเดียว ถึงแตบจะไม่ยอมหยุดนิ่งให้ท่านตีได้ง่ายๆ แต่ท่านก็หาทางไล่หวดแตบจนสำเร็จทุกครั้งไป โดนไม้เรียวของแม่ทีไรมันแสบสะท้านไปถึงขั้วหัวใจเลยค่ะ ผิดกับพ่อที่แม้จะดุและตีพวกพี่ๆ แต่ท่านก็ไม่เคยตีแตบเลย อดถามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมตอนเด็กๆแตบถึงได้รักแม่มากว่าพ่อหลายเท่าตัวอย่างนั้น?

 เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว แม่กับพี่สาวคนเล็ก(คนที่ชอบแต่งหน้าไปเลี้ยงควาย) พาครอบครัวมาเยี่ยมแตบ เพื่อชื่นชมบ้านหลังแรกที่แตบซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พี่สาวของแตบตื่นเต้นดีใจออกนอกหน้า ในขณะที่แม่ได้แต่ยิ้มๆ แต่ถึงแม่ไม่พูดอะไรแตบก็เดาออกค่ะว่าแม่มีความสุขมากแค่ไหน ท่านคงภูมิใจที่แตบก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยสองมือเปล่าๆของแตบกับสามีนั่นเอง ช่วงเย็นวันเดียวกัน พี่สาวกับครอบครัวก็ขอต้วกลับ แตบขอให้แม่อยู่ต่อสักระยะ ท่านก็ตกลง แต่ด้วยความที่กลัวเหงา ท่านจึงขอเหลนชายตัวน้อย(ลูกของหลานสาว)ให้อยู่เป็นเพื่อน ช่วงที่ฟ้ายังพอมีแสงสว่างอยู่ก็ดีหรอกค่ะ แต่พอตะวันตกดินแล้วเจ้าเหลนชายตัวน้อยเริ่มงอแง และแหกปากร้องไห้เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปลอบทั้งดุก็ไม่ยอมหยุดสักที แม่จึงบอกเหลนมานอนหนุนตัก แล้วเล่านิทานให้ฟัง ตอนท้ายเรื่องของนิทาน แม่ไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.."สักพักเจ้าเด็กตัวน้อยก็เงียบกริบก่อนจะผลอยหลับคาตักไป แอร๋ยยยยยยยยยยยยยยยยยย! แตบเห็นภาพนั้นแล้ว ต่อมน้ำตาก็เริ่มทำงานทันทีเลย

 ..นานแล้วค่ะที่แตบเผลอลืมเลือนคำสอนสั่งจากนิทานของแม่ไป นี่ถ้าแตบนำมันมาปรับใช้ควบคู่กับการดำรงชีวิตในปัจจุบันนี้ได้ แตบคงจะเป็นคนดีมากๆคนหนึ่งของประเทศไทยแน่นอน..จริงๆนะคะ

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เด็กหญิงตัวแสบ # 4 : แบบว่า..เซอร์ไพร้ส์

แตบเป็นคนที่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจเลยค่ะ ดูตั้งแต่เด็กยันแก่ ไม่เคยเบื่อเลยจริงๆ  ยิ่งสมัยเด็กๆนั้น แตบจะชอบดูหนังประเภทบู๊ล้างผลาญมากมาย โดยเฉพาะถ้าหนังเรื่องไหนมีนางเอกที่แก่นแก้ว เก่งกล้าสามารถด้วยแล้ว จะยิ่งรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ และจะเกลียดหนังแนวดรามา กับหนังรักโรแมนติกที่ดำเนินเรื่องเนิบนาบไม่มีความตื่นเต้นเข้ากระดูกเลย

 พระเอกนางเอกในดวงใจของแตบสมัยนั้นก็ได้แก่คุณตุ๊-จตุพล ภูอภิรมย์ พระเอกคนนี้เป็นผู้ชายในสเป็กหนึ่งเดียวของแตบค่ะ (เสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนตร์เมื่อหลายปีก่อน),พี่บ๊อบ-ทูล หิรัญทรัพย์ เป็นคนที่แตบมองว่าไม่หล่อมากมายแต่ด้วยบุคลิกที่ดูกะล่อน ทะเล้น แถมยังแฝงความเซ็กซี่นี่เองที่ทำให้แตบหลงเสน่ห์ไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนฝ่ายหญิงก็ได้แก่พี่เปิ้ล-จารุณี สุขสวัสดิ์ คนเดียวเท่านั้นค่ะ เธอสวยก็ได้ เก่งกล้าก็ดี เรียกได้ว่า ทุกอย่างในความเป็นเธอนั้น ช่างวิเศษไปหมดเลยทีเดียว ถ้าหนังเรื่องไหนมีเธอเป็นนางอีกนี่ แตบจะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด ถึงแม้บางเรื่องจะเป็นแนวโศกเศร้าเคล้าน้ำตาที่เธอต้องรับบทไม่เก่งกล้าสามารถอะไร แตบก็จะไม่พลาดเช่นกัน(แต่จะแอบแช่งชักหักกระดูกผู้กำกับหนังเรื่องนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย) แตบรักเธอถึงขนาดที่ว่า ถ้าเพื่อนๆร่วมชั้นคนไหนพูดตำหนิเธอในทางไม่ดี แตบก็แผลงฤทธิ์ใส่ทันที และจะบีบบังคับให้เพื่อนๆชอบด้วยให้ได้ ถ้าใครไม่ชอบก็ห้ามติเด็ดขาด ถ้าใครติขอให้มีอันเป็นไป(บังคับให้เพื่อนๆทั้งหญิง-ชาย กล่าวคำสาบานดังๆต่อหน้าศาลเพียงตา..เพี้ยน+เผด็จการสุดเดช)

 เมื่อสมัยที่แตบเรียนอยู่ ป.2/2นั้น ด้วยความหลงใหลได้ปลื้มกับ 3 ดาราที่กล่าวมาเบื้องต้น บวกกับสมองนักครีเอทตัวน้อยของแตบ จึงออกไอเดียว่า เราน่าจะช่วยกันรวบรวมรูปดาราคนที่เรารักมาติดตกแต่งห้องเรียนเพื่อเพิ่มความสดใสสวยงาม เพราะเบื่อสภาพห้องเรียนที่เรียบโล่งขาดสีสันเต็มทนแล้ว (ไม่ได้ปรึกษาครูประจำชั้นก่อน เพราะหวังว่าจะเซอร์ไพร้ส์ครูน่ะค่ะ อีกอย่างก็มั่นใจว่าถ้าครูเห็นผลงาน ก็คงจะตื่นเต้น ภาคภูมิใจสุดๆแน่นอน) แตบปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย(หรือไม่มีใครกล้าขัดก็ไม่รู้นะคะ) ดังนั้นหลังจากที่กินข้าวกลางวันกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว แตบจึงแบ่งเพื่อนๆออกเป็นกลุ่มๆ ให้กลุ่มนักเรียนชายไปเก็บผลมะตูมที่ป่าช้าหลังโรงเรียนเพื่อจะนำยางมะตูมมาใช้ทำกาว ส่วนเด็กผู้หญิงให้กลับบ้านไปรวบรวมรูปภาพดาราที่ตัวเองรักมาให้ได้มากที่สุด ส่วนกลุ่มผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่ง ให้ไปเก็บดอกไม้สวยๆมาเตรียมไว้ พวกเราโชคดีมากๆค่ะที่สมัยนั้นครูอนุญาตให้นักเรียนกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านได้ ทุกอย่างจึงดำเนินไปด้วยดีตามแผนที่วางไว้ เมื่อเพื่อนๆกลับจากการหาวัสดุอุปกรณ์ ก็ได้เวลาเข้าเรียนต่อในช่วงบ่ายพอดี แตบสั่งให้เพื่อนๆเก็บซุกวัสดุ-อุปกรณ์ต่างๆเอาไว้ให้ดี ไม่งั้นความลับอาจจะแตกเอาได้ พวกเรานั่งเรียนได้ไม่นาน คุณครูใจดีก็ปล่อยให้พวกเราเป็นอิสระแล้วค่ะ เธอบอกให้พวกเราไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าอาคารเรียน เพื่อรอเวลาเลิกในตอนเย็น แต่พวกเรายังไม่ทันขยับตัวทำอะไรเลย คุณครูแม่ลูกอ่อนประจำชั้นของเราก็ปรี่ไปยืนเม้าท์แตกอย่างออกรสกับเพื่อนๆครูผู้หญิงด้วยกันที่ใต่ต้นชงโคเสียแล้ว..ทางสะดวกจังเลยค่ะวันนี้ หลังจากที่แน่ใจว่าคุณครูคงไม่กลับเข้าห้องมาอีก พวกเราก็ลงมือปฏิบัติการตกแต่งห้องเรียนให้น่าดูกันทันที ทุกคนยอมเสียสละเวลาจากการเล่นสนุกในช่วงก่อนเลิกเรียนมาร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือ โดยมีแตบกับ"นังบุญหนา"มือขวาคนสนิท คอยชี้มือบัญชาอย่างใกล้ชิด เพื่อนๆผู้ชายลงมือทุบลูกมะตูมเสียงดังโผละเผละ ก่อนใช้ไม้เขี่ยสาวยางมะตูมออกมารวบรวมในชามใบเล็ก(กะลามะพร้าวดีๆนี่แหละค่ะ) จากนั้นเพื่อนผู้หญิงก็ทะยอยตัดรูปดาราที่ตนเองรักมานำเสนอกับแตบ หากรูปไหนผ่านการเห็นชอบ จึงจะสามารถนำไปติดกาวแปะผนังได้ ..แน่นอนค่ะรูปดาราประมาณ 80% เป็นรูปที่จะต้องมีพี่เปิ้ลจารุณีอยู่ด้วย และจะต้องติดในบริเวณที่มองเห็นได้อย่างโดดเด่นเป็นสง่าเท่านั้น ส่วนรูปนางเอกคนอื่นๆ แตบจะสั่งให้ติดในมุมที่ไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะเหลือบมอง เช่น ชอกเล็กๆข้างบานประตู หรือมุมต่ำๆบริเวณหลังห้องเรียนอะไรอย่างเนี้ย หลังจากที่ติดรูปภาพดาราคนโปรดจนเต็มผนังห้องทั้ง 4 ด้านด้วยกาวยางมะตูมชั้นดีแล้ว พวกเราก็ช่วยกันนำดอกไม้สดหลากสีไปติดทับที่กรอบรูปดาราจนทั่วห้องเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเสร็จสรรพ พวกเราต่างเพ่งมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจสุดริด เมื่อเก็บกวาดเศษวัสดุ-อุปกรณ์แล้วเสร็จ แตบก็เสนอหน้าวิ่งไปขออนุญาตลากแขนเชิญคุณครูประจำชั้นมาดูผลงานอย่างเร่งรีบ(แต่ยังไม่บอกว่าเป็นอะไร)ท่าทางของครูตื่นเต้นไม่เบาเลยค่ะ ทันทีที่ประตูห้องเรียนถูกเปิดอ้าออก ครูถึงกับอึ้งจังงังราวกับจะช็อคตายคาที่เสียให้ได้ ก่อนจะส่งเสียงปรี๊ดดดดดดดดดดดลั่นจนแก้วหูแทบระเบิด "ใครคะ ใคร..ใครเป็นตัวการ??!!" เด็กทุกคนก้มหน้านิ่งเงียบ ก่อนจะพร้อมใจกันรวบรวมความกล้าแล้วชี้มือมาที่แตบ แอร๋ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย! ครูได้แต่กัดฟันกรอดๆมองหน้าแตบด้วยอาการประหนึ่งจะกระโดดกัดคอเสียให้ได้เล่นเอาแตบขนลุกขนพองไปเลย ทั้งเจ็บ(ใจ)ทั้งอายพอๆกัน อยากมุดแผ่นดินหนีเสียให้ได้ซะตอนนั้น เมื่อครูประจำชั้นสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เธอจึงสั่งให้พวกเราจัดการรื้อเก็บรูปภาพเหล่านั้นออกให้หมด แถมกำชับด้วยว่า "ไม่เสร็จไม่ต้องกลับบ้านเด็ดชาด ..โดยเฉพาะเธอ ยัยแตบจอมบงการ!"

 ถ้าคุณผู้อ่านเป็นเด็ก ตจว. และเคยกิน "มะตูม" มาก่อน คงทราบนะคะ ว่าเวลาที่ยางมะตูมติดกับกระดาษบนผนังไม้น่ะ..มันเหนียวแน่นแค่ไหน?!

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เด็กหญิงตัวแสบ # 3 : จอมปล่อยควาย

อาจเพราะช่วงนี้แตบมีเรื่องให้คิดเยอะไปหน่อยมั้งคะ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี มันมากมายพอๆกัน เลยทำให้แตบต้องหันมาก้มหน้าก้มตาปั่นงานเขียนออกมาอย่างถี่ยิบขนาดนี้ เพื่อที่จะได้คิดเรื่องไร้สาระให้น้อยลง(ใครอ่านไม่ทันก็ปริ้นท์ออกมารวบรวมไว้นะคะ อนาคตอาจใช้ถมที่ได้ อิอิ)

 ครอบครัวแตบเคยได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเศรษฐีประจำหมู่บ้านมาก่อนค่ะ(ย้ำว่าเคยนะคะ) เนื่องจากทั้งพ่อและแม่ต่างขยันขันแข็ง ตั้งใจทำมาหากิน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี ท่านทั้งสองถูกพ่อตา-แม่ยายและญาติๆขับไล่ให้ออกไปกัดก้อนเกลือกินเอาดาบหน้ามาก่อน พ่อกับแม่ของแตบเรียนจบแค่ ป.4เท่านั้นเองค่ะ และอาชีพที่ท่านทำได้ดีที่สุดก็คือการเป็นเกษตรกร หรือ ทำไร่-ทำนา เหมือนคนชนบททั่วๆไป แต่ด้วยความที่ท่านทั้งสองมีเลือดนักสู้จอมทรนง ท่านจึงไม่เคยยอมแพ้อุปสรรคชีวิต กลับกัดฟันต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน ช่วยกันหักร้างถางพง(ใช้คำถูกหรือเปล่าเนี่ย?)เพื่อจับจองที่ทำกินได้หลายร้อยไร่จนกระทั่งสร้างฐานะได้สำเร็จ ไม่ช้าไม่นานญาติๆที่เคยคว่ำบาตรก็กลับมาแวะเวียนเยียนเยี่ยมจนหัวกระไดบ้านไม่แห้ง ถึงแม้ตอนนั้นแตบจะยังเด็กมากก็ตาม แต่แตบก็อาศัยความแสบซ่าส์ของตัวเองสืบรู้ความจริงมาได้มากมาย และทุกครั้งที่มีญาติๆตัวแสบมาเยี่ยม แตบยังเคยกลั่นแกล้งคนพวกนั้นบ่อยๆเลยค่ะ เป็นต้นว่า แอบเอาเกลือแกงผสมน้ำดื่มไปเสริฟ(ผสมจนเค็มปี๋บาดไส้)หรือไม่ก็จะแกล้งจับรองเท้าโยนเข้ากอไผ่หนามกอใหญ่ๆ แต่ที่แสบที่สุดก็คือปล่อยหมาไล่กวดจนโกยแนบไม่เป็นท่านั่นเอง ฤทธิ์เดชของแตบเป็นที่เลื่องลือในหมู่ญาติมิตร จนหลายคนเข็ดขยาดไม่กล้ามากินสะตอบอแร๋ที่บ้านแตบอีกเลย

 แต่ด้วยความที่พ่อมีลูกมากถึง 8 คน(หญิง 4 ชาย 3 และไม่ระบุอีก 1)พ่อจึงต้องเลือกที่จะส่งเสียให้เรียนต่อเฉพาะลูกเพศผู้เท่านั้น ส่วนลูกสาวก็จับมาทำไร่ไถนาตามยถากรรมสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้กับบรรดาลูกสาวทั้ง 4 ไปตามๆกัน ช่วงนี้เองค่ะ ที่พ่อเลิกทำอาชีพการเกษตรแล้วเปลี่ยนมาเป็นลูกจ้างประจำ(ภารโรง)ของโรงเรียนในหมู่บ้านแทน เพื่อที่ว่าในอนาคตลูกๆจะได้เบิกค่าเล่าเรียนและค่าสวัสดิการต่างๆได้นั่นเอง แต่แม่ก็ยังทำไร่-ทำนาตามปกติ ปีที่พ่อปรับเปลี่ยนอาชีพนี้ เป็นปีที่แตบมีอายุครบเกณพฑ์เข้าเรียนพอดี พ่อกับแม่จึงต้องพาแตบกับพี่ชายคนรองอีก 2 คนย้ายไปปลูกบ้านอีกหลังอยู่ในบริเวณโรงเรียน ส่วนบ้านหลังเดิมนั้น พ่อยกให้พี่ชายคนโตและพี่สาวคนรองอีก 2 นางดูแลร่วมกันไป(พี่สาวคนโตอีก 2 คนแต่งงานแยกครอบครัวไปหลายปีแล้ว) ด้วยความที่ว่าพี่สาวคนรองทั้งสองของแตบยังอยู่ในระยะเริ่มสาว พ่อเห็นว่ายังไม่ได้รับผิดชอบภาระอะไรมากมายจึงมอบหมายให้พวกเธอมีหน้าที่เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ"เลี้ยงควาย" ซึ่งตอนนั้นครอบครัวของแตบมีควายฝูงใหญ่อยู่ฝูงหนึ่งค่ะ พี่สาวคนรอง 2 คนที่พ่อมอบหมายให้ทำหน้าที่ "ดูแลฝูงควายประจำตระกูล" มักมาบ่นกระเง้ากระงอดกับพ่อ-แม่อยู่บ่อยๆว่าควายเยอะจนดูแลไม่ทั่วถึง ดังนั้นเสาร์อาทิตย์ทีไรเธอมักจะมาขอแรงให้แตบไปช่วยเธอบ้าง แต่พี่สาวทั้งสองของแตบก็แสบไม่เบาค่ะ วันไหนที่แตบไปช่วย เธอก็มักจะแกล้งขอตัวกลับไปทำธุระที่บ้านทั้งคู่บ่อยๆ หายไปตั้งแต่สาย กว่าจะโผล่หน้ามาอีกทีก็ตะวันจวนเจียนจะตกดินอยู่รอมร่อ และทุกครั้งที่พวกเธอกลับมาจะต้องโบ๊ะหน้าซะสวยฉ่ำ ราวกับไม่ได้มาเลี้ยงควาย แต่เหมือนกำลังจะไปขึ้นเวทีประกวดมิสอะไรสักอย่างตามงานวัดยังไงยังงั้น แตบแอบไปฟ้องพ่อ กับแม่บ่อยๆ และพี่ๆก็ถูกสวดไปตามระเบียบ(แต่พวกเธอก็ไม่เคยเข็ดค่ะ) ก่อนนี้แตบสงสัยมาตลอดว่า ทำไมพวกพี่สาวต้องถ่อเข้าไปแต่งหน้าทาปากถึงที่ในหมู่บ้าน ทั้งๆที่เธอก็แต่งเอง ทำไมไม่พกเครื่องสำอางไปเลี้ยงควายด้วยเลย แต่แล้วแตบก็สืบทราบมาว่า ที่พวกเธอพร้อมใจกันหายเข้าไปในหมู่บ้านครั้งละนานๆนั้น เป็นเพราะแอบนัดกับหนุ่มๆไว้นั่นเอง ด้วยความหมั่นไส้และแค้นเคือง วันหลังแตบจึงแก้เผ็ดพวกเธอด้วยการแกล้งผูกเชือกควายหลวมๆ เพื่อที่ว่าควายจะได้วิ่งเตลิดหนีไปได้ง่ายๆ แต่ผลมันออกมาดีเกินคาดค่ะ เพราะแทนที่ฝูงควายจะหนีไปกินหญ้าในระแวกใกล้เคียงที่ตามหาได้ง่ายๆ แต่กลับพร้อมใจกันวิ่งข้ามป่าข้ามเขาเป็นสิบๆลูก กว่าจะตามเจอได้ก็ต้องใช้เวลาข้ามวันข้ามคืนไปเลย งานนี้พวกพี่ๆโดนพ่อไล่หวดไปตามๆกัน เวลาพ่อตีลูกพ่อจะฟาดไม่ยั้งมือเลยทีเดียว แตบเองก็อดเสียวไส้ไม่ได้ เกรงว่าจะโดนหางเลขไปด้วย แต่โชคดีที่พ่อไม่เคยตีแตบเลยสักครั้ง งานนี้เลยรอดตัวไป พี่สาวสองคนของแตบได้แต่ก้มหน้าร้องไห้กันคนละมุม แตบไม่รู้จะปลอบอะไรเธอดีนอกจากกระซิบเบาๆว่า "สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ" ถ้าแตบเป็นพี่สาว แตบคงตบปากเด็กแสบคนนี้ให้ฟันหลุดไปแล้วล่ะค่ะ

 พอแตบโตขึ้นมาอีกหน่อย(แต่ยังอยู่ในวัยประถม)จำนวนควายในครอบครัวของแตบเริ่มลดจำนวนลงจนเหลือไม่ถึง 10 ตัว การดูแลจึงไม่ยุ่งยากเหมือนตอนที่มีควายฝูงใหญ่ๆ ด้วยความที่พี่สาวทั้งสองที่เคยเลี้ยงควาย กำลังอยู่ในระหว่างหมั้นหมายเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว แตบจึงมักถูกยัดเยียดหน้าที่ให้เลี้ยงควายเพียงลำพังอยู่บ่อยๆ และบาปกรรมที่แตบเคยแกล้งพี่สาวเอาไว้คงจะตามมาลงโทษแตบแน่ๆเลย เพราะบ่อยครั้งที่แตบไปเลี้ยงควายคนเดียว ควายมักจะหลุดหายบ่อยๆชนิดที่หายยกฝูงเลยแหละ และหายไปแต่ละครั้งก็ข้ามวันข้ามคืนไปเลย สร้างความเอือมระอาให้พ่อ-แม่ และบรรดาพี่ๆไปตามๆกัน หลายคนต่างลงความเห็นว่าแตบแกล้งปล่อยให้ควายหนี ถึงแตบจะอธิบายยังไงก็ไม่เคยมีใครเชื่อคำพูดสักที

 ด้วยวีรกรรมทำควายหายครั้งแล้วครั้งเล่านี่เอง ที่แตบถูกสั่งห้าม ไม่ให้เลี้ยงควายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา..คิดๆแล้วเศร้าจังเลยค่ะคุณๆขา ฮิๆ
 ปล.ปัจุบันครอบครัวของแตบไม่มีควายเหลือแล้วค่ะ

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แอร๋ยยยยย..วันลอยกระทง?!



"วันเพ็ญเดือน 12 น้ำก็นองริมตลิ่ง เราทั้งหลาย ชาย-หญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง.."

เสียงเพลงประจำแห่งเทศกาลลอยกระทง จากในทีวีแว่วมากระทบแก้วประสาทหูของแตบแทบทั้งวัน เปิดโทรทัศน์ไปช่องไหน ก็เจอแต่เรื่องราวเกี่ยวกับวันลอยกระทงแทบทั้งสิ้น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคึกคักตามไปด้วยทุกครั้งที่ได้ยิน
ช่วงก่อนเข้านอนเมื่อคืนวาน สามีแตบบอกว่า "พรุ่งนี้ผมจะรีบกลับนะ จะพาไปลอยกระทง" แตบไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มๆ แต่คุณๆทราบมั๊ยคะ ว่าแตบดีใจและตื่นเต้นมากๆเลยค่ะ เนื่องจากแตบและสามีไม่ได้ลอยกระทงมาเกือบ 10 ปีแล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆนานา เป็นต้นว่า เข้างานคนละรอบบ้าง หรือแม้แต่ไม่สะดวกเรื่องสถานที่และเวลาบ้าง แต่ปีนี้เป็นฤกษ์สะดวกที่สุด เพราะแตบกับสามีมีเวลาช่วงเย็นที่ตรงกันสักที คิดๆแล้วก็ตื่นเต้นมากๆที่จะได้ลอยกระทงในคืนวันเพ็ญด้วยกันอีกสักครั้ง
หลังจากที่แตบคลายความตื่นเต้นดี๊ด๊าลงไปบ้างแล้ว แตบก็เข้านอนตอนเช้ามืด ซึ่งเป็นเวลาเข้านอนปกติของแตบเอง คืนทั้งคืนแตบหลับใหลอย่างมีความสุขมากมาย วันรุ่งขึ้นแตบจะต้องตื่นมาด้วยใบหน้าสวยงามสดใสแน่ๆเลย อิอิ แต่ด้วยความที่เป็นคนหลับขี้เซา และสงสัยจะมีความสุขมากไปหน่อย ถึงได้หลับยาววววววววววววว จนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนสามีเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามา
"อ้าว! ทำไมกลับไวจังคะ ก็ไหนว่าไปทำงาน..วันนี้กลับก่อนเวลาเหรอคะคุณ?" แตบงัวเงียลุกขึ้นตีหน้าบ้องแบ๊วถามสามีด้วยความแปลกใจ
คุณสามีรีบสวนคำตอบกลับมาทันทีว่า "กลับไวอะไรกันจ๊ะเธอ นี่มันเย็นแล้วนะ" ท่าทางสามีทั้งขำทั้งเคืองเท่าๆกัน"หลับกินบ้านกินเมืองรึไงนะ..ไม่ต้องกินข้าเย็นก็ได้แล้วมั้ง อิ่มแล้วนี่"
แตบยังไม่สร่างนอน ก็เลยนึกหาคำตอบโต้ไม่ได้ นอกจากทำกุลีกุจอเก็บที่นอนอย่างรีบเร่ง ในใจรู้สึกขำและอับอายพอสมควร
"งั้นผมขอนอนซักงีบนะ ไว้ซักประมาณทุ่ม ผมจะตื่นพาไปลอยกระทง" สามีบอก "อ้อ! จะทำงานบ้านให้เรียบร้อยก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องทำกับข้าวหรอก เดี๋ยวออกไปกินข้างนอกดีกว่า"
"ว้าว!"ด้วยความที่ไม่ต้องทำกับข้าว แตบก็จะเหลืองานทำความสะอาดบ้านแค่อย่างเดียวเท่านั้นเอง โชคดีมากๆที่วันนี้บ้านไม่เลอะ ทำแป๊บๆก็คงเสร็จ..งั้นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน อิอิ หลังจากที่สามีเข้านอน แตบก็เดินเอ้อละเหยลอยชายไปมา จิบกาแฟ ดูโทรทัศน์ และเล่นอินเตอร์เนตอย่างสบายใจเฉิบ มารู้ตัวอีกทีก็จวนได้เวลาตื่นของคุณสามีแล้วล่ะ ถ้าทำตอนนี้ก็คงทัน เพราะบ้านไม่รกมากมายอะไร แตบจะได้มีเวลาอาบน้ำแต่งตัวให้สวยสุดๆไปเลย ทันแน่นอนค่ะ ต้องทันแน่ๆ
แต่เพียงแค่แตบจรดไม้ม็อบลงแตะพื้นเท่านั้นเอง คุณสามีก็งัวเงียตื่นขึ้นมาเสียแล้ว
"นี่คุณกำลังจะทำงานบ้านเหรอ มีเวลาตั้งนานทำอะไรอยู่จ๊ะ ?..คุณนี่จริงๆเล๊ย"
คราวนี้แตบอยากจะกรี๊ดให้ลั่นบ้านไปเลยค่ะ แต่ก็พยายามสะกดอารมณ์ให้แน่นิ่งเอาไว้ เพราะรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิด
"ขอเวลาครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแหละค่ะคุณ เนี่ยเห็นมั๊ย กำลังม็อบพื้นพอดี รอแป๊บนะคะที่รัก คุณจะงีบต่อก็ได้นี่ เดี๋ยวแตบปลุกเอง"
"งั้นผมไปงีบต่อนะ เสร็จแล้วปลุกผมก็แล้วกัน"
พอสามีขึ้นไปงีบบนห้องนอนต่อเป็นครั้งที่สอง แตบก็รีบลงมือทำงานบ้านต่อจนเสร็จสิ้น หลังจากนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมออกไปลอยกระทง
"คุณๆ" แตบเขย่าปลุกสามี "แตบอาบน้ำแต่งตัวเสร้จแล้วนะคะ"
"กี่โมงแล้วอ่ะ" สามีถามด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ท่าทางจะงัวเงียไม่ใช่น้อย
"ยังไม่ 3 ทุ่มเลยค่ะ" แตบทำหน้าแป้นแล้นตอบไปด้วยน้ำเสียงไพเราะสดใสที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว
"ผมเพลียจังเลย ตอนที่ผมตื่นครั้งแรกคุณก็ยังทำงานบ้านไม่เสร็จ มาปลุกผมตอนนี้..ผมตื่นไม่ไหวหรอก" น้ำเสียงของเธอตัดพ้อมากมาย ไม่ทันที่แตบจะคิดเดารูปการณ์ได้เสร็จสิ้น ว่าหลังจากนี้เธอจะพูดอะไรอีก เธอก็ส่งเสียงอิดออนน่าหมั่นไส้ออกมา "งั้นคุณไปคนเดียวได้มั๊ย? ไปลอยคนเดียวก็ได้นี่ ใครๆเขาก็ลอยคนเดียวกันทั้งนั้นแหละ นะจ๊ะ..นะจ๊ะ"
.. เท่านั้นแหละค่ะ วิญญาณนางมารร้ายก็กระโดดเข้าสิงแตบอย่างไม่รู้ตัวทันที
"แจ๊ดๆๆ แว๊ดๆๆฉอดๆๆ" แตบพรั่งพรูคำสรรเริญเยินยอสามีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและไพเราะเสนาะหูแทบหลังคาบ้านจะถล่มเสียให้ได้ เมื่อสาแก่ใจแล้ว จึงเดินสบัดหน้าออกมา และไม่ลืมที่จะบรรจงปิดบานประตูอย่างนิ่มนวล เสียงดังโครมครามจนแจกันบนหลังชั้นวางของสะเทือนดิ๊กๆ ปล่อยให้คุณสามีสุดที่รักนอนคลุมโปงอย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่บนที่นอนต่อไป
สรุปแล้วปีนี้แตบก็พลาดการสืบสานประเพณีลอยกระทงของไทยอีกตามเคย..รู้สึกแย่มากๆเลยค่ะ!

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เด็กหญิงตัวแสบ # 2 : หมามุ่ย

หลังวันแห่ง "ไม้เรียวประวัติศาสตร์" แตบเริ่มทำตัว สงบเสงี่ยม เรียบร้อยและเป็นเด็กดีมากขึ้น แต่..โบราณกล่าวไว้ว่า "น้ำนิ่งอย่าวางใจ" อิอิ ใช่ค่ะ เพราะภายใต้ใบหน้าสดใสเป็นมิตรของแตบนั้น มันมีความโกรธแค้นรุนแรงซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา "สักวันแตบจะต้องเอาคืนให้ได้ " เด็กน้อยครุ่นคิดวางแผนอย่างเงียบๆเพียงลำพัง..??!!
..เวลาผ่านไปหลายเดิอน แตบยังแอ๊บใช้ชีวิตเด็กเรียบร้อยเรื่อยมา
ปกติทุกเย็นหลังเลิกเรียน แตบต้องวิ่งไปเก็บกระเป๋าและเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อนจะย้อนกลับมาช่วยพ่อปิดประตูหน้าต่างอาคารเรียนให้เรียบร้อย ถึงจะออกไปวิ่งเล่นทะโมนอยู่เพียงลำพังตามประสาเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูงได้ นานๆถึงจะไปเล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้าง แต่เล่นได้ไม่นานหรอกค่ะ(ไม่สนุกเหมือนเล่นคนเดียว..แปล๊กแปลก)บริเวณหลังโรงเรียนจะเป็นอดีตไร่ข้าวโพดของแม่ พอเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วแม่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเนื่องจากเป็นช่วงฤดูแล้งพอดี ช่วงนี้เองค่ะที่มีหญ้าขจรขึ้นคลุมพื้นที่จนรกท่วมไปหมด แตบมักไปวิ่งเล่นในดงหญ้าบ่อยๆ(ใช้คำว่า "ใน" เนื่องจากต้นหญ้าสูงท่วมหัว) ยิ่งถ้าเป็นหน้าแล้งจะสนุกมาก เพราะต้นหญ้าแห้งตายเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา ยิ่งทำให้โลกแห่งจินตนาการของเด็กบ้านนอกช่างฝันอย่างแตบเพริศแพร้วหลายเท่าทวีคูณ
กระทั่งเย็นวันหนึ่งในช่วงฤดูแล้ง แตบก็มีโอกาสรู้จักทักทายเจ้าพืชชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "หมามุ่ย" ดูเผินๆหน้าตาก็คล้ายๆกับถั่วบางชนิดนั่นแหละค่ะ ผิดกันตรงที่ว่า หมามุ่ยจะมีขนหนาสีน้ำตาลทองขึ้นคลุมบริเวณเปลือกฝักคล้ายขนกำมะหยี่ ดูนุ่มนวลชวนสัมผัส แต่ถ้าเผลอเข้าไปแตะหล่อนเมื่อไหร่ มีหวังคันคะเยอโลกแตกข้ามวันไปเลย โชคดีมากๆที่แตบเคยดูหนังเรื่อง "หมามุ่ย" มาก่อน จึงระวังตัวได้ทัน
เย็นวันนั้นแตบก็คิดแผนการณ์แก้เผ็ดครูประจำชั้นได้สำเร็จ "อิอิ..คราวนี้แหละ เจอแน่!" แตบยิ้มย่องอย่างสะใจ แล้วบรรจงเก็บหมามุ่ยพวงใหญ่กลับออกมา แน่นอนค่ะ แตบไม่ลืมที่จะแอบชะแว๊บเข้าชั้นเรียนอย่างระมัดระวังตัวพร้อมหมามุ่ยพวงใหญ่พวงนั้น โชคดีที่ช่วงเย็นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" อยู่ในโรงเรียนเลยสักคน และโชคดีมากๆที่ห้องเรียนของแตบไม่มีกุญแจล็อกเอาไว้ เวลาเปิด-ปิด ก็แค่ออกแรงดันปานประตูหน่อย แล้วล้วงมือเข้าไปถอดกลอนด้านในได้เลย
เป้าหมายโจมตีของแตบอยู่ที่โต๊ะ-เก้าอี้ของคุณครูทนงศักดิ์ครูประจำชั้นที่หวดก้นแตบจนเลือดซิบนั่นเองค่ะ พอเข้าไปในห้องเรียนได้แตบก็บรรจงลากพวงหมามุ่ยไปบนโต๊ะ-เก้าอี้ของครูจนทั่ว เท่านั้นไม่สาแก่ใจ มันต้องเปิดสมุดหนังสือของครูออกมาโปรยขนหมามุ่ยลงไปด้วย จากนั้นก็ที่แปรงลบกระดานประจำตำแหน่งอีกหน่อย คราวนี้ก็ถึงตาอีนัง "บุญหนา" เพื่อนกะเทยเด็กหัวโปกคนสนิท ที่เผลอยิ้มเยาะสะใจตอนที่แตบถูกครูตี แล้วก็ต่อด้วยโต๊ะของ ด.ช.บุญเรืองตาเหลือก,ด.ช.สุวรรณหัวโตและ ด.ช.นพดลทอดไข่(นามสกุลเธอ "ทอกไข" แต่เพื่อนๆเรียก "ทอดไข่") เมื่อหนำใจแล้วแตบก็กลับออกมาโดยไม่ลืมที่จะแวะข้างทางเพื่อซุกห่อหมามุ่ยเอาไว้ใช้งานอีก ลืมบอกไปนิดส์นึง เด็กชาย 3 คนสุดท้ายที่เอ่ยมานั้น ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้แตบหรอกค่ะ แต่แตบรู้สึกว่าพวกเธอคงจะ "แอบด่าแตบในใจบ่อยๆ" เท่านั้นเอง อิอิ
วันรุ่งขึ้น "ครูทนงศักดิ์"เกิดอาการท้องเสียรุนแรงจึงลาป่วยกระทันหัน "ครูวชิระ" หรือพี่ครูอี๊ดจึงรับหน้าที่มาสอนแทน(เรียกพี่เพราะสนิทกับครอบครัวของแตบมาก) ด้วยความที่ว่าแตบตื่นสายเป็นอาจิณจึงเข้าห้องเรียนช้ากว่าคนอื่นเสมอ พอมาถึงห้องเรียน ก็เห็นเพื่อนๆทั้ง 4 คนเกากระจายเป็นหนุมานไปแล้ว โดยเฉพาะ "นังบุญหนา" ที่แตบโปรยขนหมามุ่ยบนที่นั่งของเธอมากเป็นพิเศษ เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆต่างห้อมล้อมพวกที่โดนพิษหมามุ่ยด้วยอาการเป็นห่วงอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ด้วยความที่กลัวคนสงสัย แตบจึงแอ๊บเนียนเข้าไปแสดงอาการเป็นห่วงบ้าง ไม่นานครูอี๊ดก็เข้าห้องเรียนมาพบความผิดปกตินี้ พอเห็นท่าไม่ดีครูจึงส่งเด็กทั้ง 4 กลับบ้านไป แตบมองเห็นผิวหนังของเพื่อนแต่ละคน บวมแดงไปทั่วตัวจนน่าตกใจ รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีแต่อีกใจก็สะใจอย่างบอกไม่ถูก จะด้วยอารามตกใจไม่เปล่าไม่รู้ที่ทำให้พี่ครูอี๊ดไม่ทันเฉลียว เธอหย่อนก้นลงนั่งบนโต๊ะครูอย่างไม่ทันระวังตัว และแล้วเธอก็โดนพิษหมามุ่ยของยัยแตบตัวแสบไปแบบเต็มๆ เพื่อนๆคนที่เหลือรวมทั้งแตบเองก็ใช่ว่าจะรอดนะคะ โดนลูกหลงจากพิษร้ายแสนคันไปด้วยเช่นกัน แต่จะแค่คนละนิดคนละหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนคนที่แตบไม่อยากให้โดน แต่ก็ต้องโดนนั่นคือ"พ่อของแตบ" ที่ต้องมาทำหน้าทีกำจัดขนหมามุ่ยออกจากห้องเรียนนั้นเอง แตบได้แต่มองพ่อด้วยความสงสารและเป็นห่วงอยู่เงียบๆ(รู้สึกผิดบาปเหลือเกิน)
เป็นอันว่าวันนั้นทั้งวัน ห้องเรียนชั้น ป.4/2 ของเราวุ่นวายโกลาหลจนไม่เป็นอันเรียนเลยทีเดียว ครูใหญ่ทราบเรื่องถึงกับลงมาสอบสวนเรื่องราวด้วยตัวเอง เมื่อรู้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อาการคันของพี่ครูอี๊ดกับเพื่อนๆทั้งสี่คนนั้นเกิดจากการแพ้พิษหมามุ่ย ครูใหญ่ถึงกับโมโหชนิดที่ว่าลมออกเลยทีเดียว หน้าตาแดงก่ำ ดุดันน่ากลัวที่สุด แต่ในเมื่อเด็กทุกคนรวมทั้งแตบปฏิเสธ ครูใหญ่จึงลงมือเฆี่ยนทุกคนยกชั้น ชนิดไม่ปราณีเลยทีเดียว
สรุปแล้วความวุ่นวายโกลาหลครั้งนั้น มันเกิดจากความแค้นส่วนตัวของเด็กตัวเล็กๆที่ชื่อแตบเท่านั้นเอง..รู้สึกแย่ย้อนหลังจังเลยค่ะ
ปล.ขอบคุณภาพประกอบของคุณเพรางามและอีกภาพจากเวบแห่งหนึ่งมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ บังเอิญแตบลืมชื่อเวบไซต์ของท่านไปแล้ว คงไม่ถือโทษนะคะ จุ๊บๆค่ะ

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เด็กหญิงตัวแสบ # 1 : ไม้เรียว

สังเกตกันหรือเปล่าเอ่ย? หลายเรื่องที่ผ่านมาของแตบมักจะกล่าวถึงแต่เรื่องราวในอดีตเป็นส่วนใหญ่ เหตุผลของแตบก็คือ..เรื่องราวในอดีตมันสนุกและมีความทรงจำอันสวยงามอยู่มากมายหลายร้อยเรื่องไงคะ มันต่างกับชีวิตในวัยปัจจุบันของแตบลิบลับ ซึ่งนอกจากไม่มีอะไรตื่นเต้นเร้าใจแล้ว เผลอๆแตบยังรู้สึกว่าความสุขในชีวิตมันแสนจะลดน้อยถอยลงยังไงไม่ทราบนั่นเอง(ทั้งๆที่ชีวิตครอบครัวราบรื่นดีจนหลายคนอิจฉา)

 ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็ก สมัยเด็กๆแตบเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองจนน่ารังเกียจเลยทีเดียวค่ะ ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนเก่ง สอบได้ที่ 1 ของชั้นเรียนมาตลอด บวกกับมีความสามารถทางศิลปะเป็นเลิศนี้เอง ที่ทำให้พ่อ-แม่,ครูบาอาจารย์ ต่างรุมยกย่องชื่นชม แตบเองก็พลอยหลงใหลได้ปลื้มไปด้วย เหตุผลนี้เองที่ทำให้แตบพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ให้ดีตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่า "อย่าแพ้ใครเด็ดขาด"(โตขึ้นถึงรู้ว่าตัวเองมีความคิดที่ผิดพลาดมหันต์) ถ้าเพื่อนร่วมชั้นคนไหนตอบคำถามครูได้มากว่า หรือ มีแววจะเรียนเก่งเทียบเท่าแตบขึ้นมาบ้างล่ะก็ เธอมักจะตกเป็นเป้าโจมตีของแตบเสมอ จนบางคนถึงขั้นย้ายโรงเรียนหนีไปหมู่บ้านอื่นก็มี ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ แตบตั้งตัวเป็นหัวโจกของเพื่อนๆค่ะ(ตัวเล็กสุดในชั้นเรียนแต่แสบสุด) ไม่ว่าแตบจะคิดหรือพูดอะไร ก็ห้ามโต้แย้งเด็ดขาด ใครแข็งข้อเป็นได้เห็นดีทุกรายไป ลืมบอกไปนิดส์นึง แตบเป็นเด็กที่เติบโตในรั้วโรงเรียนน่ะค่ะ เนื่องจากคุณพ่อของแตบมีอาชีพ"เป็นภารโรง"ในโรงเรียนประถมที่แตบเรียนอยู่นั้นเอง แต่เป็นภารโรงที่ครูเล็ก-ครูใหญ่ให้ความเคารพนับถือกันถ้วนทั่ว เนื่องจากพ่อเป็นคนดีมีน้ำใจ และทำงานอย่างขยันขันแข็งมากๆ ครูทุกคนต้องเคยกินช้าวที่บ้านแตบ หลายคนเดือดร้อนเงินทองก็จะมักมาขอความช่วยเหลือจากพ่อเป็นประจำ พ่อของแตบก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ บ่อยครั้งเหลือเกินที่พ่อมักจะเดือดร้อนเพราะการช่วยเหลือคน แต่พ่อก็ไม่เคยเข็ด ด้วยความที่ครูทุกคนเกรงอกเกรงใจพ่อนี้เอง ที่ทำให้แตบพลอยได้รับการดูแลเป็นพิเศษมากกว่าเด็กทั่วๆไป ไม่ว่าจะทำตัวเกเรแค่ไหน ครูก็ไม่กล้าเฆี่ยนตีด้วยไม้เรียวเด็ดขาด อย่างมากก็แค่อบรมสั่งสอนบ้างพอเป็นพิธี แต่ถ้าเกเรจนเกินเหตุ ครูก็จะนำเรื่องนั้นมาปรึกษาแม่ของแตบ สุดท้ายแล้ว คนทีดุและตีแตบจะเป็นแม่ของแตบเองค่ะ(ฮือๆ..เจ็บใจ๊เจ็บใจ) มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แตบเกเรมากๆ และบังเอิญแม่ผ่านไปเห็นพฤติกรรมเข้าเต็มๆ(บ้านเราอยู่ในโรงเรียนไงคะ) แม่จึงกลับบ้านไปตัดไม้ไผ่เนื้อดีมานั่งเหลาเป็นไม้เรียว แล้วนำมามอบให้ครูประจำชั้น จำนวนครึ่งโหลพอดิบพอดี เพื่อเอาไว้ใช้ตีแตบคนเดียว แถมยังบอกครูอีกว่าหมดแล้วให้บอก จะเหลามาเพิ่ม แม่ย้ำนักย้ำหนาว่า "ต้องตีให้ได้ ตีแรงๆ ให้มันหราบจำ ห้ามเกรงใจแม่เด็ดขาด!" วันนั้นแตบซ่าส์ไม่ออกเกือบทั้งวันเลยค่ะ แต่ยังไม่วายคิดอาฆาตครูล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว

 ในที่สุด ครูประจำชั้นก็มีโอกาสใช้ไม้เรียวของแม่ค่ะ วันนั้นแตบไปรังแกเพื่อน(ตามเคย) ครูก็เลยหวดก้นแตบไม่ยั้งมือ(คงเก็บกดกับแตบมามาก) ครูตีก้นแตบ 3 ครั้ง ครั้งละแรงๆ จนก้นแตบแดงระบมมีเลือดซิบๆ สังเกตเห็นว่าเพื่อนหลายคนรุมยิ้มเยาะด้วยแววตาเหยียดหยามและซ้ำเติมแตบกันไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้แต่ "นังบุญหนา" เพื่อนกะเทยมือขวาคนสนิทของแตบเอง เจ็บตัวไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ็บใจนี่สิคะ ฮึ่มๆ

 หลังวันแห่ง "ไม้เรียวประวัติศาสตร์" แตบเริ่มทำตัว สงบเสงี่ยม เรียบร้อยและเป็นเด็กดีมากขึ้น แต่..โบราณกล่าวไว้ว่า "น้ำนิ่งอย่าวางใจ" อิอิ ใช่ค่ะ เพราะภายใต้ใบหน้าสดใสเป็นมิตรของแตบนั้น มันมีความโกรธแค้นรุนแรงซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา "สักวันแตบจะต้องเอาคืนให้ได้ " เด็กน้อยครุ่นคิดวางแผนอย่างเงียบๆเพียงลำพัง..??!! โปรดติดตามตอนต่อไป

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ป่าเปลี่ยนสี





ว้าว!..เผลอนิดเดียวก็ย่างเข้าฤดูหนาวอีกแล้วค่ะ วันเวลาช่างเดินทางรวดเร็วเสียจริงนะคะ

ถึงแม้วันนี้ที่ กทม.จะมีฝนตกจนน้ำท่วมหมู่บ้านของแตบ แต่แตบก็มั่นใจว่าในจังหวัดทางแถบภาคเหนือและอิสานตอนบนคงอากาศเย็นและเริ่มมีหมอกลงแล้วแน่ๆเลย แตบเป็นหญิงสาวแสนสวยสดใสที่ชื่นชอบฤดูหนาวมากๆถึงมากที่สุดค่ะ(ตอนเด็กๆชอบเล่นน้ำฝน แต่ปัจจุบันไม่ชอบแล้วค่ะ เปียกปอนสกปรก และทำให้เดินทางลำบาก..ลองนึกภาพหญิงสาวแสนสวยอย่างแตบใส่ส้นเข็มเลาะเลียบเดินหลบน้ำนองไปตามคันนาหน้าหมู่บ้านเพื่อขึ้นรถประจำทางสิคะ แอร๊ยยยยยยยยยย..อารมณ์เสีย!) บังเอิญว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ แตบรู้สึกว่าอากาศช่วงเช้าๆช่างเย็นสบายดีเหลือเกิน วันนั้นแตบยืนรับลมที่ระเบียงบ้าน มีไอเย็นจากลมหนาวมาปะทะกิ่งตะขบหน้าบ้านก่อนจะหอบหิ้วใบไม้แห้งประมาณ 1 กำมือมาทิ้งลงบนผมสลวยสวยเก๋ทรงฟาร่าของแตบที่เพิ่งผ่านการสระล้างมาใหม่ ใช่ค่ะฤดูกาลกำลังจะเปลี่ยนผันไปแล้วจริงๆ หลังสิ้นสุดฤดูฝนในปลายเดือนตุลาคมนี้ ฤดูหนาวก็จะตะเกียกตะกายเข้ามาทักทายประเทศไทยอย่างช้าๆ ชั่วพลันแตบก็นึกถึงฤดูกาลแห่ง "ป่าเปลี่ยนสี" ขึ้นมาได้ ก็ช่วงนี้จนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้แหละค่ะ ที่ทุกพื้นที่ที่มี "ป่าผลัดใบ" จะมีปรากฎการป่าเปลี่ยนสีให้เห็น ก่อนจะทิ้งใบแห้งเหี่ยวหลากสีสันให้ร่วงหล่นไปเป็นปุ๋ยดินต่อไป

ตอนที่แตบยังเป็นกะเทยหัวเกรียนวัยมัธยมต้นอยู่นั้น แตบต้องเดินทางไปเรียนในตัวอำเภอที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 30 กม.(รวมระยะทางไป-กลับ ก็ 60 กม.เท่านั้นเองค่ะ)การเดินทางก็อาศัยรถรับ-ส่งนักเรียนของหมู่บ้านค่ะ ฟังดูหรูหรามีคลาสนะคะ แต่ว่า..มันเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่คันเก่าๆเท่านั้นเองค่ะ ด้วยความที่มีจำนวนนักเรียนมากเกินไป คนขับรถรถจึงจัดให้เด็กผู้หญิงนั่งเบียดกันในส่วนผู้โดยสารทั่วไป แล้วให้เด็กผู้ชายปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคา(สมัยนั้นยังไม่มีกฏหมายห้ามค่ะ)นึกสภาพดูนะคะว่าแตบต้องตากแดดตากลมรวมกับเพื่อนๆผู้ชายหัวเกรียนที่พร้อมจะข่มขืนแตบบนหลังคารถได้ทุกเมื่อ ตั้งแต่เรียน ม.1 ยัน ม.3 เลยทีเดียว อดอิจฉาริษยาเพื่อนๆผู้หญิงที่พร้อมใจกันทำหน้าแอ๊บแบ๊วอยู่ในชั้นที่ปลอดภัยไม่ได้จริงๆ..แต่คิดไปคิดมา พวกเธอก็คงอิจฉาแตบเหมือนกันแหละค่ะ ฮิๆ ด้วยความที่ว่าจังหวัดของแตบอยู่ท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่นี้เอง เวลาเดินทางออกจากบ้าน เราจึงได้ชมวิวทิวทัศน์สวยงามโดยไม่ตั้งใจทุกวัน ยิ่งช่วงต้นฤดูหนาวอันเป็นช่วงที่ป่าเริ่มเปลี่ยนสีนั้น ภาพวิวทิวทัศน์ที่เคยเห็นเป็นสีเขียวชะอุ่มจนชินตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง,ส้ม,แดง และสีน้ำตาล ของใบไม้นับล้านๆต้น สอดแทรกสลับกันอยู่ตามรายทางเรื่อยไปจนถึงขุนเขาใกล้ไกล..โอวพระเจ้า มันเป็นภาพที่แสนสวยงามมากๆค่ะ ถึงแม้อากาศหนาวเหน็บในตอนเช้าตรู่จะจงใจทรมานเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อย่างแตบ แต่แตบก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นความสวยงามของใบไม้หลากสีที่กระจัดกระจายอยู่ในปุยหมอกขาวนุ่มนั้น มันงดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรเอกเลยทีเดียวเชียวค่ะ นานนับ 20 กว่าปีแล้วค่ะ ที่แตบไม่ได้ชมบรรยากาศจริงของป่าเปลี่ยนสีอีกเลย ทั้งๆที่เคยให้สัญญากับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า สักวันแตบจะต้องกลับไปสัมผัสบรรยากาศแห่งความทรงจำอันแสนสวยงามนั้นให้ได้

หากใครมีโอกาศเดินทางไปแถบภาค เหนือ และ อิสานในช่วงต้นฤดูหนาว ก็อย่ามัวแต่นั่งหลับน้ำลายยืด หรือมุ่งหน้าขับรถเอาเป็นเอาตายอย่างเดียวนะคะ ทอดสายตามองออกไปนอกกระจกรถเสียบ้าง..สิ่งสวยงามสองฟากฝั่งถนนกำลังรอทักทายคุณอยู่ค่ะ

 ประดับสมองนิดหนึ่งค่ะ
ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) เป็นระบบนิเวศน์ป่าชนิดที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ชนิดผลัดใบหรือทิ้งใบเก่าในฤดูแล้ง เพื่อจะแตกใบใหม่เมื่อเข้าฤดูฝน ยกเว้นพืชชั้นล่างจะไม่ผลัดใบ จะพบป่าชนิดนี้ตั้งแต่ระดับความสูง 50-800 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
 1. ป่าเบญจพรรณ : ลักษณะทั่วไปเป็นป่าโปร่ง พื้นที่ป่าไม้ไม่รกทึบ มีไม้ไผ่ชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่มาก มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่างๆ ที่เป็นที่ราบ หรือตามเนินเขา พันธุ์ไม้จะผลัดใบในฤดูแล้ง การกระจายของป่าเบญจพรรณในประเทศไทย พบในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน ครอบคลุมต่ำลงไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตอนบน มีปรากฏที่ระดับความสูงตั้งแต่ 50 เมตร ถึง 800 เมตร หรือสุงกว่านี้ในบางจุด
 2. ป่าแดง ป่าแพะ หรือป่าเต็งรัง : พบขึ้นสลับกับป่าเบญจพรรณ ลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ขนาดเล็ก และขนาดกลาง ไม้เด่นอันเป็นไม้ดัชนีประกอบด้วยไม้ในวงศ์ยาง ฤดูแล้งจะผลัดใบ และมีไฟป่าเป็นประจำ ป่าเต็งรังมีถิ่นกระจายโดยกว้างๆ ซ้อนทับกันอยู่กับป่าเบญจพรรณ แต่อาจแคบกว่าเล็กน้อยทั้งนี้เนื่องจากมีปัจจัยกำหนดที่เกี่ยวข้องกับความแห้งแล้ง มีปรากฏตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีขึ้นไปจนถึงเหนือสุดในจังหวัดเชียงราย ป่าชนิดนี้เป็นสังคมพืชเด่นในทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่ปรากฏสลับกันไปกับป่าเบญจพรรณ ในพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งจัด กักก็บน้ำได้เลว เช่น บนสันเนิน พื้นที่ราบที่เป็นทรายจัด หรือบนดินลูกรังที่มีชั้นของลูกรังตื้น ตั้งแต่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-1,000 เมตร
 3. ป่าหญ้า : เกิดจากการทำลายสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ดินมีความเสื่อมโทรม มีฤทธิ์เป็นกรด ต้นไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ จึงมีหญ้าต่างๆ เข้าไปแทนที่ แพร่กระจายทั่วประเทศในบริเวณที่ป่าถูกทำลายและเกิดไฟป่าเป็นประจำทุกปี

ขอบคุณอ้างอิงจาก http://www.dnp.go.th/Research/Knowledge/type%20of%20forest.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความทรงจำตราควายสีชมพู


มีคนกล่าวไว้ว่า "ธรรมชาติของวัยรุ่นมักเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับจินตนาการและความใฝ่ฝันในอนาคต ในขณะที่คนแก่มักจะจ่อมจมอยู่กับการรำลึกความทรงจำในอดีต" แตบไม่รู้ว่าเพื่อนๆวัยเดียวกันกับแตบจะเป็นอย่างข้อความที่แตบกล่าวอ้างมาหรือเปล่า แต่แตบเป็นค่ะ แตบกล้ายอมรับว่าตัวเองชอบนึกถึงอดีตอันแสนหวานอยู่บ่อยๆ โดยไม่อายค่ะที่ใครจะล้อว่า "แก่ " ..เพราะทุกคนไม่มีทางหลีกเลี่ยงสัจจธรรมข้อนี้ไปไม่ได้อยู่แล้ว เหอๆ
         วันที่เขียนบทความนี้ เป็นวันที่ฝนฟ้าคะนองหนักน่าดู อยู่ดีๆแตบก็นึกถึงความทรงจำอันแสนหวานในวัยเด็กของตัวเองขึ้นมาค่ะ แตบมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ พอนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างแล้วสมองส่วนที่บันทึกความทรงจำของแตบมันก็เริ่มทำงานทันที ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 หรือ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ภาพในอดีตมันก็ยังคงสภาพแจ่มชัดในความทรงจำของแตบเสมอมา

       จำได้ว่า เมื่อครั้งที่แตบยังเป็นเด็กสาวแสนซนและใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั้น แตบเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำฝนมากๆค่ะ ทุกครั้งที่ฝนตก แตบจะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองได้สัมผัสความเย็นชื่นใจของน้ำฝนที่โปรยปรายลงมานั้นให้ได้(ทั้งที่แม่คอยดุนักหนา) เป็นต้นว่า แกล้งทำเนียนวิ่งไปเก็บกระจาดพริกแห้งที่แม่ลืมทิ้งไว้(ถ้าแม่อยู่ด้วย แตบจะแกล้งเสียเวลาเก็บทีละนานๆ) หรือไม่ก็แกล้งวิ่งไปเก็บผ้าจากราวนอกบ้าน แบบว่า เก็บทีละชิ้น ทีละผืนอะไรเงี้ยค่ะ ถ้ามีผ้า 10 ผืนก็จะวิ่งเก็บอย่างน้อย 5 รอบขึ้นไป เท่านั้นไม่สาแก่ใจสำหรับแตบหรอกค่ะ หลังจากเก็บข้าวของทุกอย่างจนครบถ้วนแล้ว แตบก็จะแกล้งวิ่งไปสอดส่องหาโน่นหานี่รอบๆบริเวณบ้าน ประมาณว่า มีอะไรที่ลืมเก็บอีกหรือเปล่า เพื่อให้ตัวเองได้ตากฝนจนเปียกปอนจนกว่าจะพอใจเท่านั้นเอง อิอิ แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกและมีลมกระโชกรุนแรงในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แตบก็มักจะแอบกลับมาเปลี่ยนชุดเงียบๆที่บ้าน ก่อนหนีแม่ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆในวัยเดียวกันที่นอกบ้าน ในมือของเด็กซนแต่ละคนมีสัมภาระสำหรับใส่ของคนละไม่ต่ำกว่า 1 ชิ้น อันได้แก่ ตระกร้าไม้ไผ่,ถังพลาสติก และถุงผ้า(ย่าม) จุดหมายปลายทางของพวกเราก็คือใต้ต้นมะม่วงริมรั้วของชาวบ้าน แต่สถานที่ฮอตฮิตเป็นที่นิยมสุดๆของเด็กๆทุกกลุ่มก็คือ ต้นมะม่วงยักษ์(ต้นใหญ่มากๆ)ที่สวนหลังบ้านของ"พี่แดงดอกไม้" นั่นเอง บริเวณดังกล่าวมีต้นมะม่วงใหญ่ยักษ์ที่ออกลูกดกเป็นสิบๆต้นเชียวค่ะ ถ้าเด็กกลุ่มไหนไปถึงก่อนก็จะกวาดเก็บมะม่วงได้มากว่านั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นคือ..มันเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆน้อยๆของเด็กๆน่ะค่ะ "พี่แดงดอกไม้"เธอเป็นหญิงสาววัย 20 ต้นๆ ที่มีหน้าตาผิวพรรณดีกว่าชาวบ้านทั่วๆไป และดีกว่าบรรดาพี่สาวแท้ๆของแตบด้วย( พี่สาวของแตบรับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพวกเธอมักเข้าใจผิดว่าตัวเองเริ่ดดดสุดในตำบล) เรื่องชื่อของเธอนั้นเป็นอย่างนี้ค่ะ.."แดง" เป็นชื่อเล่น "ดอกไม้"เป็นชื่อจริง แต่ทุกคนในหมู่บ้านรวมหัวกันเรียก "แดงดอกไม้" เนื่องจากคนที่ชื่อ "แดง" มีไม่ต่ำกว่า 10 คนนั่นเอง ใต้ร่มเงาแห่งต้นมะม่วงยักษ์ที่รายรอบนั้น มีคอกควายค่ะ ครอบครัวพี่แดงมีควายในครอบครองประมาณ 3-4 ตัว(จำไม่ได้ว่ากี่ตัวกันแน่ แต่อยู่ระหว่างนี้นี่แหละ) หนึ่งในจำนวนนั้น มีควายเผือกอยู่ 1 ตัว ซึ่งแตบมักเรียกว่า"ควายสีชมพู" เนื่องจากผิวของเธอเป็นสีขาว อมชมพู..สวยงามน่ารักเชียว และทุกครั้งที่แตบไปเก็บมะม่วงหล่นนั้น แตบจะพบเธอบ่อยๆ เธอจะส่งยิ้มหวานทักทายทุกครั้ง แต่แตบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพราะต้องแข่งเก็บมะม่วงกับเพื่อนๆต่อไป ความจริงแล้ว บ้านทุกหลังในหมู่บ้านของแตบจะปลูกผลไม้อย่างมะม่วง และ มะขามไว้ทุกหลังคาเรือนค่ะ แม้แต่บ้านของแตบและเพื่อนๆก็มีมะม่วงและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมายหลายต้น และด้วยความที่ทุกบ้านมีต้นมะม่วงนี่แหละค่ะ ที่ทำให้ไม่มีใครหวง โดยเฉพาะมะม่วงที่หล่นเองโดยแรงลมด้วยแล้ว บางครั้ง"พี่แดงดอกไม้" สาวสวยจิตใจงามยังมาช่วยพวกแตบเก็บเลยค่ะ เธอบอกว่า "เก็บไปให้หมดนะ เพราะบ้านพี่กินไม่ทัน ทิ้งเอาไว้ก็เน่าเสียเปล่าๆ" คนบ้านนอกสมัยนั้นจิตใจดีมากๆค่ะ ความสวยและมีน้ำใจของ "พี่แดงดอกไม้" ยังตราตรึงในความทรงจำเสมอมา และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป แตบเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆไปตามกาล พ่อ-แม่ ของแตบได้ส่งเสียให้แตบไปเรียนต่อในตัวจังหวัด หลังเรียนจบแตบก็ได้งานทำทันที แต่เป็นงานในกรุงเทพฯค่ะ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้แตบต้องห่างบ้านเกิดออกไปอีกโดยไม่ตั้งใจ แตบใช้ชีวิตวนว่ายอยู่ในสังคมอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายของกรุงเทพฯนานเกือบ 20 ปีมาแล้ว นานๆจะมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง(คิดถึงบ้านทุกลมหายใจ แต่ขี้เกียจเดินทาง) ครั้งล่าสุด แตบกลับไปเยี่ยมพ่อ-แม่ที่แผ่นดินเกิด สังเกตเห็นว่าหมู่บ้านของแตบเจริญขึ้นมากด้วยสิ่งปลูกสร้างรูปทรงทันสมัย บ้านที่มีหลังคาไม้และต่อนอกชานไว้เป็นที่รับลมแบบโบราณนั้นหายไปหมดแล้ว ด้วยความโหยหาอดีตอันแสนหวานในวัยเยาว์ แตบจึงเดินเท้ารอบหมู่บ้านเพื่อเยี่ยมเยียนและทักทายคนรู้จัก แล้วแตบก็มีโอกาสพบหน้า"พี่แดงดอกไม้" อีกครั้งหนึ่ง เธอดูสูงวัยขึ้นมาก แต่ก็ยังมีเค้าความสวยให้เห็นจางๆ เรามีโอกาสพูดจาปราศัยกันนานทีเดียว ก่อนจากลากัน แตบทอดสายตาออกไปยังสวนมะม่วงยักษ์หลังบ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ต้น ต้นที่เหลืออยู่มันดูแก่และทรุดโทรมลงไปถนัดตา ส่วนบริเวณที่เคยเป็นคอกควายนั้นก็หายไปแล้ว รวมทั้ง"ควายสีชมพู" ตัวนั้น จะเหลือก็แต่ลานดินโล่งๆ สิ่งที่เคยเป็นรั้วไม้แข็งแรงก็กลายสภาพเป็นแค่ท่อนไม้ผุพังที่นับวันจะจมหายไปจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับดิน แตบรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มันเศร้าใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ..มันบอกไม่ถูกจริงๆ

และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าที่ตั้งแต่แตบกลับมาเหยียบย่างบนแผ่นดินเกิดหนนี้ แตบยังไม่เห็นควายเลยสักตัว อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ในหมู่บ้านตามชนบทแต่ละแห่ง จะมีควายเหลืออยู่สักกี่ตัวกัน? วิถีของสังคมเกษตรกรรมในที่ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไป แรงงานจากควายกลายเป็นสิ่งล้าสมัยและขาดความจำเป็นไปแล้ว ประโยชน์ของควายแต่ละตัวที่เหลืออยู่ มีเพียงการเป็น "อาหาร" เลี้ยงท้องของชาวบ้านเท่านั้นเอง จะมีสักกี่คนที่เลี้ยงควายเพราะความรักความผูกพันธ์ ที่อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งในอดีต มันเคยช่วยเราไถนา เพื่อปลูกข้าวให้เรากินบ้าง???

      หากใครเคยเห็นแววตาของวัว-ควาย ใน "ตลาดนัดโค-กระบือ" หรือ ใน "โรงฆ่าสัตว์"มาบ้าง แตบถามหน่อยสิคะ..คุณรู้สึกอะไรบ้างมั๊ย?

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประเดิม!

สมัยที่แตบยังเป็นเด็กหญิงผู้ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั้น แตบเคยฝันใฝ่ที่จะเป็นนักเขียนบทประพันธ์สาวผู้เลอโฉมให้ได้ค่ะ ในตอนนั้นแตบยังเป็นเด็กน้อยช่างฝัน มีจินตนาการเพริศแพร้วแวววิไลล้นสมองเหลือเกิน แต่ด้วยความที่เป็นคนสมาธิสั้นและขาดแรงบันดาลใจอย่างแรง งานเขียนแต่ละเรื่องของแตบจึงไม่สำเร็จสักที กระทั่งวันเวลาผ่านพ้นไป เด็กหญิงผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งปุยนุ่นที่ชื่อ"แตบ" ก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนสาวได้เริ่มซีดจางจนเหือดหายไปอย่างไม่รู้ตัว
ยิ่งในโลกปัจจุบันนี้ สังคมมนุย์เมืองมันช่างสับสนวุ่นวายและเร่งรีบร้อนรนเหลือเกิน เปรียบไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับพายุหมุนวนที่กวาดกลืนสรรพสิ่งให้ลอยล่องหรอกค่ะ แตบเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เผลอไผลใจให้หลุดลอยในพายุสังคมที่หมุนวนตาละปัดนั้น แต่โชคดีที่แตบสวยมากๆและฉลาดพอที่จะหาทางตะกายออกมาได้สำเร็จ และเมื่อออกมาจากพายุได้ แตบเองก็เริ่มเก็บกวาดสติที่ตกหล่นเรี่ยราดกระจัดกระจายนั้นกลับคืนทีละชิ้น สองชิ้นจนครบถ้วน เวลานี้พายุสังคมอันปั่นป่วนมันพัดผ่านออกไปไกลจากชีวิตแตบแล้วค่ะ..แตบรู้สึกดีขึ้นมากๆ(อยากกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด เหลือเกิน)
เมื่อสติกลับคืนมา จิตใจของแตบก็มีโอกาสได้พักผ่อนอย่างสงบอีกครั้ง แปลกนะคะ เมื่อเวลาที่จิตใจเราสงบ อะไรๆมันก็ดูดีแสนราบรื่นทั้งนั้น มันเหมือนมีดอกไม้แสนสวยหลากสีที่ผลิบานขึ้นรายรอบชีวิตของเรายังไงยังงั้นเลยทีเดียวเชียว ตอนนี้นี่เองค่ะ ที่จินตนาการในวัยเยาว์ของแตบมันเริ่มกลับคืนมาทอแสงเปล่งประกายแวววับอีกครั้ง
ที่เขียนเล่ามายืดยาวเยิ่นเย้อทั้งหมดก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่อยากจะเม้าท์ให้เว่อร์ๆเท่านั้นเอง ถ้าจะสรุปให้สั้นๆก็คือ.. ตอนเด็กๆอยากเป็นนักเขียน แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียก่อน แต่ตอนนี้กลับมามีความคิดที่จะเป็นนักเขียนอีกครั้ง และตอนนี้แตบก็ได้เริ่มลงมือทำแล้ว(ไม่มีใครอ่าน แตบเก็บไว้อ่านเองก็ได้ค่ะ อิอิ)