วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมนูพิเศษในวันพิเศษ


เผลอไม่ทันไร ปี 2553 ก็จะถึงคราวสิ้นสุดลงในไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว คิดแล้วใจหายจังเลยค่ะ ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าเข้าสู่วัยกลางคนเป็นต้นมา แตบก็รู้สึกว่าวันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากวันที่ 31 ธ.ค.จะถือเป็นวันสิ้นปีแล้ว วันนี้ยังถือเป็นวันครบรอบการใช้ชีวิตคู่ของแตบกับแฟนอีกด้วย ปีนี้เป็นปีที่ 15 พอดี
จริงๆแล้วแตบไม่ได้นั่งเฝ้านับวันนับปีอะไรหรอกค่ะ แต่บังเอิญว่ามันตรงกับช่วงวันสำคัญประจำปีพอดิบพอดี ก็เลยทำให้จำได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง อิอิ
ไหนๆปีนี้แตบกับแฟนก็มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าในวันพิเศษแล้ว แตบเลยต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อทำตัวให้ดูพิเศษกว่าทุกวันเสียหน่อย ถึงแม้จะไม่ได้จัดเลี้ยงสังสรรค์อะไร แต่อย่างน้อย มีขนม หรือของกินเล่นเก๋ๆบ้างสักวัน ก็คงจะเข้าท่าไม่เบา
ว่าแล้วก็สำรวจตู้เย็นเพื่อนยากที่อยู่ร่วมบ้านกับแตบมาเกินกว่า 10 ปี เหลือบไปเห็นเนื้อไก่สด และพืชผักอีกหลายอย่าง ทั้งยังมีขนมปังแผ่นที่ตู้เก็บอาหารแห้งด้วย เลยตัดสินใจทำเมนูนี้ขึ้นมา........

ขนมปังหน้าหมู หรือ ไก่(สูตรมาดามแตบ)

ส่วนผสมหน้าขนมปัง
- เนื้อไก่สับ 200 กรัม
- ไข่ไก่            1 ฟอง
-ชีอิ๊วขาว        1 ช้อนชา
-ซอสปรุงรส   1 ช้อนชา
-พริกไทยป่น   (ตามชอบ)
-ผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
-ขนมปัง         5 แผ่น
-น้ำมันพืช(สำหรับทอด)







วิธีทำ
1.ตัดแบ่งขนมปังเป็น 4 ชิ้นต่อ 1 แผ่น
2.คลุกเคล้าไก่สับกับเครื่องปรุงให้เข้ากัน
3.ตอกไข่คนให้เข้ากับเนื้อไก่สับ,โรยผักชี แล้วนำไปทาหน้าขนมปังที่เตรียมไว้
4.ปล่อยทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้ส่วนผสมในเนื้อไก่สับซึมยึดกับผิวขนมปัง(แตบลองใช้วิธีนำเข้าไมโครเวฟ 1 นาทีเพื่อให้เนื้อไก่หมาดเร็วขึ้น ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว)
5.นำไปทอดทอดด้วยน้ำมันที่ร้อนปานกลาง(คว่ำด้านที่เป็นหน้าไก่ลงก่อน รอให้สุกดีแล้วค่อยกลับด้าน)
6.ตักขนมปังที่สุกแล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน ก่อนนำไปจัดเรียงใส่จาน อาจมีผักเครื่องเคียงด้วยจะช่วยให้รสชาตของว่างจานนี้พิเศษยิ่งขึ้น

ส่วนผสมอาจาด(น้ำจิ้ม)
-แตงกวา       1 ลูก
-หอมแดง      2 หัว
-พริกชี้ฟ้า      1 เม็ด(แตบชอบเผ็ดจึงใช้พริกขี้หนู 5 เม็ด)
-น้ำตาลทราย 2.5 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น     1 ส่วน 4 ช้อนชา
-น้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำต้มสุก     2 ช้อนชา

วิธีทำ
1.ฝานแตงกวาเป็นแว่น แล้วตัดแบ่งแต่ละแว่นเป็น 4 ชิ้น
2.หั่นหอมแดงเป็นแว่นบาง
3.คว้านไส้พริกขี้หนูทิ้ง แล้วสับหยาบ
4.ผสมน้ำตาลทราย,น้ำต้มสุก,เกลือป่น และน้ำมะนาวให้เข้ากันดี จากนั้นนำแตงกวา,หอมแดง และพริกขี้หนูใส่ลงไป คลุกเคล้าพอให้เข้ากัน

เพียงแค่นี้ แตบก็ได้ของกินเล่นเก๋ๆในวันพิเศษของตัวเอง 1 อย่างแล้ว ขอสารภาพตรงนี้เลยนะคะ ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำขนมปังหน้าหมู(ไก่)ของแตบ ตามธรรมเนียมค่ะ ทำเสร็จต้องถ่ายรูปเก็บไว้ดูตามเคย แม้ว่ารูปร่างหน้าตาขนมปังของแตบอาจจะไม่ค่อยสวยโสภา..แต่รสชาติก็โอเคไม่เบาเลยทีเดียวเชียวค่ะ อิอิ


ปล.ถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ 2554 สำหรับคุณผู้อ่านทุกท่านนะคะ ขอให้มีความสุขในทุกๆด้านตลอดไป ไม่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขอให้มีสติและปัญญา แล้วท่านจะก้าวข้ามมันไปได้ด้วยดีค่ะ






วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หอมกลิ่นแผ่นดินเกิด

เวลาที่ใครสักคนหนึ่งต้องโยกย้ายภูมิลำเนาไปตั้งรกรากอยู่ต่างถิ่น จะด้วยจุดมุ่งหมายใดก็แล้วแต่ แตบเชื่อเหลือเกินว่า คงต้องมีสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะรู้สึกคิดถึงแผ่นดินเกิดขึ้นมาอย่างจับใจแน่นอน..แตบเองก็เช่นกัน


แต่กับชีวิตที่ "ยังกลับไม่ได้ และไปไม่ถึง"แล้ว มันช่างอึดอัดเสียจริง แม้จะคิดถึงบ้าน คิดถึงแผ่นดินเกิดสักแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าทนทรมานในการ "รอ"อยู่ร่ำไป

 ได้แต่หวังว่า การรอคอยภายใต้เงื่อนไขโง่ๆที่แตบสร้างขึ้นมากักกันตัวเองเอาไว้นั้น คงจะสิ้นสุดลงในเวลาอันใกล้ และเมื่อวันนั้นมาถึง แตบจะกลับไปสูดกลิ่นแผ่นดินเกิดอีกครั้ง..อย่างสง่างาม

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ห้าเดือนที่หายไป

รู้สึกว่าตัวเองเกเรมากจังเลยค่ะ ที่จู่ๆก็ห่างหายไปจากการเขียนบล็อกถึงห้าเดือนติดต่อกัน ทั้งที่ความจริงแล้ว แตบยังคงแวะเวียนเข้ามาในนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะไม่ได้เขียนบทความอะไรเพิ่มเติมก็ตามที แต่อย่างน้อยๆก็เข้ามาทำโน่น แต่งนี่ไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว แตบก็คงไม่ต่างไปจากพลังงานอะไรสักอย่าง ที่ยังคงขับเคลื่อนอยู่อย่างเงียบๆตลอดเวลา เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็นเท่านั้นเอง อิอิ

 ช่วงระยะเวลาที่หายเงียบไปนั้น เป็นจังหวะที่ชีวิตแตบกำลังเผชิญกับสภาพตกต่ำย่ำแย่แบบสุดๆอย่างต่อเนื่อง มีเรื่องราวไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับชีวิตเล็กๆของแตบและครอบครัวมากมายไม่เว้นวัน แน่นอนค่ะ มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ย่อมไม่มีใครที่อยากจะมีชะตากรรมย่ำแย่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อจนปัญญาจะหลีกเลี่ยง วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ทำใจยอมรับสภาพของตัวเองให้ได้เพื่อที่จะอยู่กับมันด้วยความรู้สึกที่เป็นทุกข์ให้น้อยลง แตบเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเลวร้ายต่างๆเหล่านั้นก็จะจากเราไปอย่างแน่นอน และไม่ว่าชีวิตในวันนี้ของแตบจะเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น เลวลง หรือยังทรงตัวอยู่อย่างเก่าก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนัก เพราะแตบเริ่มเรียนรู้ที่จะบอกกับตัวเองว่า ชีวิตของคนเราย่อมมีโอกาสเผชิญทุกข์และสุขต่อไปอีกนาน ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ขอแค่มีสติในการดำเนินชีวิตบ้าง ไม่ว่าวันนี้ หรือพรุ่งนี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก มันก็คงไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าจะก้าวข้ามอีกต่อไป ว่าแต่ในระหว่างห้าเดือนนั้น มีอะไรเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แตบมีรูปภาพบางส่วนมาฝากค่ะ มาดูกัน........
"ตะขบข้างบ้าน" ที่ครั้งหนึ่งแตบเคยนำเรื่องราวมาเขียนในบล็อกแห่งนี้ ปัจจุบันเหลือแต่ตอที่รอวันผุพัง นกกาที่เคยอาศัยก็พลอยหายหน้าไปสิ้น แม้นานๆจะมีหลงมาก่อตอร้องเพลงสักตัว แต่อารมณ์ที่ได้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และหลังจากที่ต้นตะขบสิ้นชีพไปได้ไม่นาน "มะละกอ"ที่เคยถูกบดบังก็ได้โอกาสเติบใหญ่อย่างที่เห็น ขอบอกว่าช่วงที่ชักหน้าไม่ถึงหลังนั้น แตบเก็บมาตำบักหุ่งแทบทุกเย็นเลยค่ะ(ก็แตบปลูกเองนี่นา อิอิ)
นี่คือ "เจ้าแก่" พาหนะคู่ใจคันแรกของครอบครัว ที่ปัจจุบันกลายเป็นแค่ความทรงจำ อันยากจะลืมเลือนเสียแล้ว(ขาย)
ส่วนนี่คือ "น้องอิ๋ว" พาหนะคู่ใจที่แตบถนัดและใช้งานบ่อยสุด ทั้งงานหนักงานเบา..เธอไม่เคยเกี่ยง!
ยัยนี่เพิ่งถอยมาใหม่ค่ะ HONDA Scoopy-i ที่แตบเรียก"น้องหวานหวาน"(ได้รับอิทธิพลมาจากละคร "ระบำดวงดาว")
"ดอกลีลาวดี" ที่แตบเก็บมาจากข้างทางเพื่อถ่ายรูปไว้ดูเล่น จะว่าไปแล้วมันก็ทั้งสวยและมีกลิ่นหอม แต่ทำไมถึงกลายเป็นไม้ต้องห้ามของบางคนก็ไม่รู้?
วันแรกแห่งชีวิตใหม่ของเจ้า "CK" แมวน้อยพเนจรเพศผู้ที่แตบรับมาอุปการะ(ในขณะที่ตัวเองก็กำลังแย่)
วันนี้ของ "CK" ในวัยไม่ถึง 5 เดือน ที่ทั้งหล่อและนิสัยดี แต่โชคร้ายที่มี "ลมชัก" เป็นโรคประจำตัว
นี่ก็วันแรกของ"เฟื่อง" ลูกแมวเพศผู้ ที่แตบเพิ่งเก็บมาเมื่อไม่กี่วัน คืนนั้นฝนตกหนัก แตบ กลับจากซื้อของเห็นลูกแมวตัวผอมสภาพเปียกปอนร้องขอความช่วยเหลืออยู่ข้างทาง ในสภาพน่าเวทนา ธรรมชาติของคนเลี้ยงสัตว์ทุกคน มักใจไม่แข็งพอที่จะเดินผ่านไปโดยไม่เหลียวแลแน่นอน และเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าเฟื่องก็กลายเป็นลูกแมวที่ร่าเริง แข็งแรง เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละตัวเลยทีเดียว(แล้วจะหาโอกาสนำรูปมาให้ชมค่ะ)
"เทาเทา" สมาชิกขาจร คู่หูของเจ้า"ศุภโชค"ที่มาหาแตบทีไร มักจะมีแผลเน่าเฟะมาทั้งคู่..ไม่เจ็บตัวก็ไม่ยอมมา
SHARP Mini-DV กล้องวีดีโอตัวแรกและตัวเดียว ที่ต้องตัดใจขายในราคาถูก เนื่องจากภาวะอับจนบีบบังคับ
กล้วยไม้พันธุ์แคทลียากระถางนี้เพิ่งออกช่อให้ชมเป็นครั้งแรก หลังจากที่แบ่งหน่อจากบ้านพี่สาวมาปลูกเลี้ยงอยู่นานถึง 3 ปี ..เปรียบไปก็เหมือนการทำความดีที่ทำยากและเห็นผลช้านั่นแหละค่ะ
"ออนซิเดียม แฟนซี สีลูกกวาด" ทั้งกระถางมีกันอยู่แค่ 2 ต้นเล็กๆ แต่ยังมีน้ำใจออกดอกให้ชม แถมดอกยังสวยสดใส บานทนอีกต่างหาก
"แคทลียา บิวตี้ควีนส์" หนึ่งในความภูมืใจ ที่แตบสามารถเลี้ยงดูให้ดอกดอกเองได้สำเร็จ(แม้โรงเรือนจะมีสภาพไม่เหมาะสมเท่าทีควร)
ที่โพสรูปมาเยอะแยะหลากหลาย แตบแค่อยากจะสื่อให้เห็นว่า ชีวิตของคนเรา ย่อมมีสิ่งสวยงาม และสิ่งไม่สวยงามเคียงคู่กันมาเสมอ ขึ้นอยู่ว่า เราเลือกที่จะมองสิ่งไหนเท่านั้นเอง

 ท้ายนี้แตบขอแสดงความขอบคุณสำหรับเพื่อนผู้อ่าน ที่แวะเวียนเข้ามาและฝากคำทักทายไว้เป็นระยะตามบทความต่างๆ แม้บางคนจะไม่ได้แสดงตนด้วยหลักฐานใดๆ แต่หากได้แง่คิดหรือความเพลิดเพลินติดตัวออกไปบ้าง แตบก็รู้สึกดีแล้วค่ะ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กำลังใจ

รู้สึกแย่จังที่ วันนี้นึกอยากเขียนเล่าอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังหาทิศทางในการเล่าให้ตรงประเด็นไม่สำเร็จสักที ทั้งที่ลงมือเขียนไปหลายบรรทัดแล้วแต่ก็ต้องตัดใจลบทิ้งไปหลายเที่ยวเช่นกัน อาจเป็นไปได้ว่าความเครียดกับเหตุจราจลของบ้านเมืองเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมายังคั่งค้างอยู่ในหัวแตบนั่นเอง
 สำหรับคนที่ไม่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ตามย่านต่างๆของ กทม.แล้ว ระยะแรกๆแตบแค่เพียงรู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาณในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ความรู้สึกดังกล่าวกลับถูกเพิ่มพูนสั่งสมขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ ควบขนานไปกับระดับการชุมนุมที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น เหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม และกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี ถูกสื่อต่างๆนำเสนอให้รับทราบเรื่อยมาในแต่ละวัน กระทั่งเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ในเวลา 13.00 น.โดยประมาณ แกนนำได้ประกาศยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นสลับกับเสียงโห่ร้องแสดงการไม่เห็นด้วยของผู้ชุมนุมอีกส่วนหนึ่ง แต่แตบก็เชื่อว่าคนไทยค่อนประเทศที่เฝ้ารอคำๆนี้มานานเกินกว่าเดือน คงหายใจโล่งและคิดถึงวันฟ้าใสไว้ล่วงหน้าไปตามๆกันแน่นอน แต่แล้วความฝันที่จะเห็นวันฟ้าใสของคนไทยกลับถูกทำลายจนย่อยยับโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ยอมยุติ ได้ลุกฮือออกอาละวาดเผาทำลายทรัพย์สินสาธารณะตามสถานที่สำคัญหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ในเวลานั้น ไม่ว่าจะหันหน้าไปเสพสื่อทางช่องทางใด ก็ล้วนแล้วแต่มีภาพแห่งความย่อยยับเสียหายไม่ต่างกับภาวะสงครามออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนไทยกลุ่มหนึ่งที่อ้างการทวงถามหาประชาธิปไตยเรื่อยมาจะทำร้ายประเทศของตัวเองได้ถึงเพียงนี้..เพื่ออะไร?!
 ยังไม่ทันที่แตบจะคิดอ่านอะไรให้ดีขึ้นได้ ข้อความจากแฟนแตบที่ทำงานอยู่ไม่ไกลจุดจราจลก็ถูกส่งเข้ามาให้วิตกเข้าไปอีก
"ถ้าเกิดอะไรขึ้น รหัส ATM.ของผมเหมือนกันทุกใบนะ"
ถ้าใครเป็นแตบในตอนนั้นก็คงใจหายไปพักใหญ่เหมือนกัน โชคดีที่ระบบโทรศัพท์ในกรุงเทพฯยังพอใช้งานได้อยู่บ้าง ถึงแม้จะติดๆดับๆ แต่อย่างน้อยก็ทำให้แตบติดต่อกับแฟนได้เป็นระยะ แตบเชื่อว่าในภาวะการณ์เช่นนี้ คำพูดเพียงไม่กี่คำของคนที่รักและห่วงใยกันนั้น มันอาจเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าเสื้อเกราะกันกระสุนด้วยซ้ำไป
หลังจากที่พูดคุยทางโทรศัพท์กับแฟนได้สักพัก แตบก็นั่งติดตามข่าวทางโทรทัศน์พลางคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยตามประสา คิดถึงเพื่อนคนโน้น คิดถึงน้องคนนี้ คิดแม้กระทั่งว่าแม่และพี่ๆที่ต่างจังหวัดจะรู้ข่าวคราวความวุ่นวายในกรุงเทพฯบ้างหรือเปล่า ถ้ารู้แล้วจะเป็นห่วงแตบหรือไม่..ทำไมไม่มีใครคิดจะโทรถามสารทุกข์สุขดิบของแตบบ้างล่ะ? นี่ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ แม่และพี่ๆคงคิดว่าแตบจะต้องเข้มแข็งเหมือนที่ผ่านๆมาอีกตามเคย ทั้งที่ความจริงแล้ว แตบเองก็มีภาวะอ่อนแอและต้องการกำลังใจอยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำไป
 "กำลังใจ" เป็นเพียงสิ่งนามธรรม ที่ถึงแม้จะสูดดมไม่ได้เหมือนอากาศ กินไม่ได้เหมือนอาหาร และดื่มไม่ได้เหมือนน้ำ แต่มันก็มีอานุภาพพอที่จะขับเคลื่อนชีวิตของคนเราให้ก้าวเดินต่อไปได้ ด้วยความเข้มแข็งเสมอมามิใช่หรือ?
นี่ขนาดแตบเองไม่ได้รับผลกระทบจากการจราจลโดยตรง ยังรู้สึกย่ำแย่ถึงเพียงนี้เลย แล้วคนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรงล่ะ จะแย่แค่ไหน ท่ามกลางภาวะวิกฤตของบ้านเมืองในเวลานี้ หากใครก็ตามที่ผ่านมาพบบทความของแตบ ขอให้รู้ว่าแตบเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้พวกคุณเสมอ ทั้งทหาร-ตำรวจ และพ่อค้า,ประชาชนที่เดือดร้อนเสียหาย ขอให้เข้มแข็งและพบทางออกที่ดีในการดำเนินชีวิตต่อไปในเร็ววันค่ะ
ท้ายสุดของบทความนี้ แตบอยากกล่าวขอบคุณน้องคนหนึ่งที่มีน้ำใจโทรกลับมาพูดคุยและให้กำลังใจแตบ หลังจากที่ระบบโทรศัพท์ของพวกเราต่างมีปัญหาอย่างต่อเนื่อง คำพูดเพียงไม่กี่คำของคุณทำให้แตบรู้สึกว่ายังมี "เพื่อนดีๆ" หลงเหลืออยู่บ้าง ขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

คน(หมู่)บ้านเดียวกัน

ช่วงนี้อากาศแปรปรวนไม่แพ้อารมณ์ของมาดามแตบเลยทีเดียวเชียวค่ะ เพราะเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น ไม่รู้ว่าธรรมชาติต้องการจะบอกอะไรกับเรา แต่ที่แน่ๆ มันน่าจะไม่ใช่ลางดีหรอกนะคะ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ระยะหลังๆมานี้มักเกิดภัยวิบัติรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง จนผู้คนทั่วโลกเดือดร้อน และบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ หรือว่าถึงเวลาแล้วที่ธรรมชาติจะเอาคืนบ้าง..หลังจากปล่อยให้มนุษย์ย่ำยีมานาน!?
วกลับมาเข้าเรื่องที่แตบจะเล่าดีกว่านะคะ ด้วยเหตุที่ว่าช่วงนี้อากาศแปรปรวนนี่แหละ ที่ทำให้ร่างกายแตบปรับตัวรับสถานการณ์ไม่ทันจนถูกไข้หวัดใหญ่เล่นงานในที่สุด โชคดีที่"ไข้หวัดใหญ่" กลายเป็นโรคประจำตัวสำหรับแตบไปแล้ว(เป็นทุกปี..ปีละครั้ง) ครั้งนี้แตบจึงรับมือกับมันได้ไม่ยากเย็นนัก หลังจากที่ใช้เวลาจัดการอยู่ 3- 4 วัน อาการเจ็บไข้ก็ทุเลาเบาบางจนหายเป็นปลิดทิ้งในที่สุด พอสร่างไข้ก็นึกถึงอะไรที่เปรี้ยวๆแซ่บๆขึ้นมาทันที และสิ่งที่แตบนึกถึงเป็นอันดับแรกเลยก็คือ.."มะม่วงน้ำปลาหวาน"(จริงๆแล้วนึกอยากกินมาหลายวันแล้วล่ะ แต่ขี้เกียจออกไปซื้อหาซะมากกว่า อิอิ)

ทุกวันพุธ และ เสาร์ ที่หมู่บ้านแตบจะมีตลาดนัด ที่ขายอาหารการกินและผลไม้ตามฤดูกาล ช่วงนี้มีมะม่วงสุกและดิบมาวางจำหน่ายมากมายหลายเจ้า และแล้วแตบก็ได้มะม่วงแรดแก่จัดมา กิโลกรัมเศษๆด้วยราคาเพียง 20 บาทเท่านั้นเอง กะว่าจะกลับไปทำน้ำปลาหวานกินให้หายอยากไปเลย แต่ร้านขายหอม-กระเทียมเจ้าประจำดันมาทะลึ่งหยุดโดยไม่ทราบสาเหตุเสียนี่(ต้องการหอมแดง) ด้วยความปราถนาแรงกล้าที่จะกินมะม่วงน้ำปลาหวานให้ได้ภายในวันนี้ แตบจึงปั่นจักรยานเพื่อนยากตระเวนถามตามร้านชำทั่วหมู่บ้าน แต่ก็ผิดหวังมาตลอด กระทั่งมาเจอร้านชำเล็กๆอีกร้าน ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากซอยบ้านแตบเท่าไรนัก(ไม่เคยเห็นมาก่อน) แต่แล้วคำตอบที่ได้คือ "ไม่มี" ตอนนั้นแตบเริ่มถอดใจอยู่พอดี กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะดั้นด้นออกไปซื้อที่อีกหมู่บ้านหนึ่งดีมั๊ย เพราะเวลานั้นก็มืดค่ำแล้ว ถ้าไปจะปลอดภัยระหว่างทางหรือเปล่า? แต่จู่ๆก็มีคุณลุงท่านหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับถามว่า "ใช้เยอะหรือเปล่า? ถ้าไม่เยอะผมจะแบ่งที่บ้านมาให้" แตบไม่รอช้าที่จะตอบคำถามและกล่าวขอบคุณท่านด้วยความซาบซึ้งใจ คุณลุงเดินนำแตบไปที่บ้านของท่าน ระหว่างหยุดรอที่หน้าประตูรั้ว แตบเห็นกล้วยไม้ป่านานาชนิดแขวนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด(เยอะกว่าบ้านแตบอีก) สักพักท่านก็กลับออกมาพร้อมหอมแดงมัดย่อมๆ แตบไม่รีรอที่จะไหว้ขอบคุณพร้อมหยิบยื่นเงินให้เป็นการตอบแทน แต่คุณลุงก็ปฏิเสธที่จะรับ ท่านบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกแม่สาวน้อย เราคนหมู่บ้านเดียวกัน ถึงจะไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ถ้ามีวาสนาได้แบ่งปันช่วยเหลือกัน เราก็ควรทำ" คำพูดของคุณลุงสร้างความประทับใจให้แตบเกินบรรยายเหลือเกิน แต่ถึงอย่างไรแตบก็ยังยืนยันที่จะให้เงินเป็นค่าตอบแทนกลับไป "เงินนี่ไม่มากมายอะไรเลยนะคะคุณลุง ถือเสียว่าให้แตบมีโอกาสตอบแทนลุงบ้างก็แล้วกัน..ไม่งั้นแตบคงกินมะม่วงน้ำปลาหวานไม่อร่อยแน่ๆ"


หลังจากหยิบยื่นเงินค่าหอมแดง และสนทนากับคุณลุงเรื่องกล้วยไม้ป่าได้สักพัก แตบจึงขอตัวกลับมาจัดการกับมะม่วงน้ำปลาหวานด้วยความเอร็ดอร่อยสมใจอยาก แม้ว่าฝีมือการปรุงน้ำจิ้มของแตบจะยังไม่เข้าขั้น "เทพ" ก็ตามที
 เหนือสิ่งอื่นใด วันนี้แตบรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ เพราะยิ่งนึกย้อนไป-มาถึงเหตุการณ์ภายในแต่ละวันที่ผ่านพ้น แตบก็ยิ่งได้พบว่า มีน้ำใจไหลวนเวียนระหว่างแตบกับคนร่วมหมู่บ้านอย่างไม่หยุดหย่อนเสมอมา แตบเชื่อเหลือเกินว่า..แม้ว่าดินฟ้าอากาศจะผันเปลี่ยนปรวนแปรสักแค่ไหน ตราบใดที่สังคมไทยยังเต็มเปี่ยมด้วย "น้ำใจ" ตราบนั้นชีวิตไม่ไร้สุขแน่นอน

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตะขบข้างบ้าน


ตอนเด็กๆแตบชอบปีนป่ายขึ้นไปร้องเต้น,เล่นละครบนต้นตะขบใหญ่ที่หัวนาของพ่อเป็นประจำ อาจเพราะบนนั้นร่มรื่นและเย็นสบาย อีกอย่าง..การที่ได้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงนั้นก็ยังช่วยให้สามารถมองทิวทัศน์ในมุมที่ต่างออกไปจากที่เคย ซึ่งเอื้อแก่จินตนาการอันบรรเจิดของเด็กช่างฝันคนหนึ่งได้อย่างวิเศษสุด
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป แตบเริ่มละทิ้งโลกแห่งจินตนาการในวัยเยาว์ของตนเองไว้เบื้องหลัง เพื่อมุ่งหน้าไปเรียนรู้และสัมผัสชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง กาลเวลาที่พ้นผ่านไปไม่หยุดหย่อนนั้นสอนให้แตบรู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญมันสอนให้เห็นว่า"โลกแห่งความฝัน" กับ "โลกแห่งความเป็นจริง" นั้น แตกต่างกันอย่างไร
แตบเองก็คงไม่ต่างกับทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนความแปรผันของวันเวลา ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นเท่าไร ยิ่งมีเรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามามากขึ้นเท่านั้น มากเสียจนทำให้เผลอลืมเลือนความทรงจำอันดีไปอย่างไม่ตั้งใจอยู่บ่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ความทรงจำดีๆของช่วงเวลาในอดีตก็ถูกพรากไปนับไม่ถ้วน..รวมทั้งเรื่องโลกแห่งความฝันบนต้นตะขบในตอนเด็กนั้นด้วย แล้วความฝันในเวลานั้นของแตบล่ะ..คืออะไร?(นั่นนะสิ)
และแล้ววันหนึ่ง ชีวิตแตบก็มีโอกาสกลับมาใกล้ชิดกับตะขบอีกครั้ง วันที่แตบมาสำรวจสภาพบ้านก่อนจะตัดสินใจซื้อเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วนั้นแตบเห็นมีตะขบต้นใหญ่ที่ริมรั้วบ้านร้างหลังข้างๆอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่งถูกริดกิ่งก้านที่เหลื่อมล้ำเข้ามายังบ้านหลังที่แตบจะซื้อไปหมาดๆ กะประมาณอายุจากลำต้นสูงใหญ่และกิ่งก้านรกครื้มแล้วน่าจะราว 10 ปีเป็นอย่างต่ำ แรกๆที่แตบย้ายเข้ามาอยู่นั้น แตบมีโครงการจะตัดโค่นทำลาย แต่เนื่องจากมันไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของแตบโดยตรง จึงทำได้เพียงตัดกิ่งก้านที่โผล่พ้นเข้ามาในรั้วบ้านเท่านั้นเอง แต่จะว่าไปแล้วแตบก็ยังได้รับประโยชน์จากมันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะขยันทิ้งผลสลัดใบจนเกลื่อนกลาดสกปรกให้เก็บกวาดทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดแตบและเพื่อนบ้านระแวกนั้นยังได้ร่มเงาและอากาศบริสุทธิ์เป็นการตอบแทนกลับคืน อีกทั้งเจ้านกน้อยนกใหญ่หลายสายพันธุ์ยังใช้เป็นที่พักพิงอาศัยยามค่ำคืนด้วย แน่นอนว่าทุกเช้า-เย็น พวกมันจะส่งเสียงเจื้อยแจ้วขับขานชวนเพลิดเพลินจำเริญใจได้ไม่น้อย ยิ่งในตอนเช้าด้วยแล้ว เสียงเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งแห่งธรรมชาติจากเจ้านกฝูงนั้นช่างชวนให้เบิกบานอย่างไม่น่าเชื่อ..โลกใบเล็กของแตบสวยงามและน่าอยู่ขึ้นมากโขเลยทีเดียว
ไม่เคยนึกมาก่อนว่าชีวิตจะมีโอกาสกลับมาเกี่ยวพันกับต้นตะขบอีกครั้ง แม้ว่าคราวนี้ แตบจะแค่ปีนป่ายขึ้นไปริดกิ่งก้านไม่ให้รกครื้มจนล้ำเส้นเท่านั้นก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ขึ้นไปอยู่บนคาคบของมัน ความทรงจำที่เคยถูกลืมเลือนไปเนิ่นนานเมื่อร่วม 30 ปีที่แล้ว ก็กลับมาสะกิดเตือนให้แตบคิดถึงมันได้ทุกที ไม่รูว่าป่านนี้ต้นตะขบที่หัวนาของพ่อต้นนั้น จะยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่หรือไม่ สัญญาว่าถ้ามีโอกาสกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ แตบจะแวะไปโอบกอดมันแน่นอน..ถ้ามันยังอยู่

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การผจญภัยของ "ศุภโชค"


นอกจากสุนัขแล้ว ที่บ้านแตบยังเลี้ยงแมวอีก 6 ตัว โดยที่ 4 ตัวเลี้ยงบนห้องทำงานซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องโล่งๆไปแล้ว(ให้แมวอยู่โดยเฉพาะ) ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือนั้น แตบให้กินอยู่หลับนอนที่ชั้นล่างของบ้าน และนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บ้านแตบมีโอกาสต้อนรับเจ้าแมวขาจรที่ชื่อ "ศุภโชค" ก็เป็นได้
จะด้วยเหตุผลที่ว่าแมว 2 ตัวที่บ้านชั้นล่างของแตบ(โนวา กับ เฮงเฮง)เป็นตัวเมีย หรือเพราะถาดอาหารเม็ดที่แตบคอยเติมเต็มตลอดก็ไม่รู้ ที่ดึงดูดเจ้าแมวจรจัดเพศผู้ตัวใหญ่หน้าตามอมแมมให้แวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ จนกลืนกลายเป็นสมาชิกขาประจำของบ้านแตบไปในที่สุด แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ช่างเถอะ ไหนๆเจ้าแมวขาจรตัวนี้ก็ไว้วางใจจนสามารถอาศัยชายคาบ้านแตบเป็นที่พักพิงหลับนอนทุกค่ำคืนไปแล้ว
ช่วงระยะเริ่มแรกที่เจ้าแมวมอมแมมตัวใหญ่นี้แอบย่องเข้ามาทางเรือนกล้วยไม้หลังบ้าน ดูเหมือนมันจะยังประหม่าและระแวดระวังตัวอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่แตบส่งเสียงหรือขยับตัว มันจะกระโจนพรวดไปตั้งหลักบนกำแพงทันที รอจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วถึงจะย่องกลับเข้ามาใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงหน้าฝนที่มีฝนตกกลางคืนเกือบทุกวัน เจ้าแมวถึกมักเปียกโชกอยู่เป็นประจำ แตบอยากจับมาเช็ดตัวและพาเข้านอนในบ้าน แต่มันก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ถึงจะพยายามแสดงความเป็นมิตรอย่างจริงใจให้เห็นก็ตามที กว่าเจ้าแมวใหญ่จะไว้วางใจจนยอมให้อุ้มให้จับแต่โดยดีได้ แตบก็โดนตะปบกัดจนเลือดสาดมาแล้วหลายหนจนนับไม่ถ้วน หลังจากที่เราต่างทำความคุ้นเคยและเชื่อใจซึ่งกันและกันแล้ว แตบก็ตั้งชื่อให้ว่า "ศุภโชค" ซึ่งแปลว่า "โชคดี" เพื่อความเป็นศิริมงคลกับชีวิตของแมวเร่ร่อนจรจัดอย่างมันนั่นเอง หลังจากที่คุ้นเคยกันแตบก็จับมาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณและรักษาแผลเรื้อรังที่เหวอะหวะตามตัว รวมทั้งจัดที่หลับนอนในบ้านให้ ซึ่งเจ้าศุภโชคก็อาศัยนอนเพียงช่วงกลางคืนเท่านั้นเอง พอวันรุ่งขึ้นก็เผ่นไปผจญภัยในโลกกว้างอย่างที่เคยเป็น บางครั้งหายหน้าหายตาไปหลายวัน แต่พอโผล่มาทีไรก็นำแผลเก่าแผลใหม่มาอวดซะทุกครั้ง..รักษาไม่เคยหายสักที ถึงจะเป็นเพียงเจ้าแมวจรจัด แต่ก็นับว่าชีวิตของเจ้าศุภโชคยัง "โชคดี" อยู่ไม่น้อย ที่มีทำเลให้เร่ร่อนอยู่ในย่านของคนรักสัตว์ ทั้ง "อ.สมชาย","พี่เปี๊ยก" และ "ใครต่อใครอีกมากมายหลายคน" ที่ต่างให้ความรักความเมตตากับมันไม่น้อยไปกว่ากัน เรียกได้ว่าชีวิตไม่เคยอดสูเลยทีเดียวเชียวแหละ
 อาจเป็นเพราะความเมตตากรุณาของคนในย่านบ้านแตบนั่นเอง ที่ทำให้เจ้าศุภโชคยสมัครใจที่จะทำตัวเป็นแมวไร้หลักแหล่งที่แน่นอนเช่นนั้นมาโดยตลอด แม้ว่าร่างกายภายนอกจะเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้กับแมวจรจัดตัวอื่นก็ตามที แต่แตบก็เชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็คงมีความสุขอยู่บ้างที่ได้เดินทางท่องเที่ยวผจญภัยอย่างอิสระในโลกของมัน

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

สวยด้วย"หัวผักกาดขาว"


..ถึงแม้ว่า รูปร่างหน้าตาที่สวยงามภายนอกจะเป็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า"เปลือก"ก็ตามที แต่ใครต่อใครมักเลือกที่จะสะดุดตาและประทับใจกับคนที่มีรูปลักษณ์ดีไว้ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ส่วนนิสัยใจคอภายในจะดีหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป เรียกได้ว่าถึงจิตใจและความประพฤติภายในจะเน่าเฟะเพียงใด ทุกคนย่อมเลือกที่จะทำให้เปลือกภายนอกดูดีไว้ก่อนเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่า.."เปลือกที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง"นั่นเองล่ะค่ะ
 ย้อนหลังไปเมื่อสมัยพระเจ้าเหามหาราชที่ 13 แตบเป็นคนหนึ่งที่ได้รับคำสรรเสริญเยินยอว่าเป็น"หนุ่มหน้าใส"คนหนึ่ง(ไม่ได้เขียนผิดนะคะ..เป็นหนุ่มจริงๆ) มีเพื่อนชายและชะนีมากหน้าหลายตามากระซิบถามเคล็ดลับการบำรุงผิวพรรณกับแตบอยู่บ่อยๆ ซึ่งแตบก็แนะนำไปว่า.."ควรรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ดื่มน้ำ,ดื่มนม และกินผลไม้ให้มากๆ" แต่เนื่องจากแตบเป็นหนุ่มประเภทรักสวยรักงาม เลยต้องบำรุงบำเรอผิวพรรณด้วยครีมบำรุงผิวทุกเช้า,เย็นไม่ได้ขาด รวมถึงการนวดหน้า,ขัดหน้าและพอกหน้าเอง(ทุกวัน)ด้วยผงสมุนไพรชนิดต่างๆที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ซึ่งนับว่าได้ผลดีมากมายเหลือเกิน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นมันเป็นการทำร้ายผิวตัวเองชัดๆ เพราะจริงๆแล้ว การขัดหน้านั้นควรทำสัปดาห์ละครั้ง หรือ สองสัปดาห์ต่อครั้งก็เพียงพอแล้ว แต่นี่แตบเล่นขัด-นวด-พอกทุกวัน ผลที่ได้คือผิวหน้าใสและบางงงงงงจนแทบมองทะลุกระดูกซะงั้น เมื่อชั้นผิวบอบบางและอ่อนแอสุดๆแล้ว ต่อให้อภิมหาบรรพบุรุษครีมกันแดดก็ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวแตบได้แน่นอน และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้แตบ "เป็นฝ้า" มาจนถึงทุกวันนี้(กรี๊ดดดดด!) คนที่เป็นฝ้าคงเข้าใจดีนะคะ ว่ามันน่าอับอายและกลัดกลุ้มแค่ไหน เวลาออกไปไหนมาไหนมันช่างทำใจได้ลำบาก เพราะเจ้าปื้นสีน้ำตาลบนใบหน้านั้น มันช่างกลบเกลื่อนได้ยากเย็นเหลือเกิน ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายด้วยแล้วยิ่งแย่ไปใหญ่ เนื่องจากคงไม่มีใครกล้าลุกมาโบ๊ะรองพื้นเพื่อปกปิดแน่ๆ แต่ถ้าจะมีคนลุกขึ้นมาโบ๊ะบ้างก็คงจะมีแต่บรรดาผู้ชายที่เป็นเพื่อนแต๋วสว่างจิตของแตบเท่านั้นเองแหละ อิอิ ถึงแม้แตบจะยังโชคดีอยู่บ้างที่เป็นฝ้าแบบตื้น(สีน้ำตาลจางๆ)แต่ก็ไม่น่าปลื้มอยู่ดี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แตบซื้อครีมนั่นโน่นนี่มาใช้เองเพื่อหวังจะหาย แต่ก็ไม่เห็นจะได้ผลอะไรเลย ฝ้ายังอยู่แน่นหนาถาวรดั่งเดิมไม่แปรเปลี่ยน แตบจึงศึกษาหาข้อมูลเรื่องฝ้าตามแหล่งความรู้ต่างๆจนได้ข้อสรุปว่า "มีทางทำให้ฝ้าจางลง..แต่ไม่มีทางรักษาฝ้าให้หายขาดได้"(ต่อให้ยิงเลเซอร์ก็เถอะ)ดังนั้นแตบจึงค่อยทำใจได้และพยายามลืมๆฝ้าบนหน้าไปบ้าง แทนที่จะมุ่งมั่นหาทางรักษา แตบจึงหันมาป้องกันไม่ให้มันลุกลามด้วยการ "ทาครีมกันแดด" ที่มีค่า SPF สูงๆ (20 นาทีก่อนออกไปสัมผัสแดด) ซึ่งก็นับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว เพราะนอกจากป้องกันฝ้าไม่ให้ลุกลามแล้วยังช่วยป้องกันผิวไหม้จากรังสี UV ได้อีกด้วย
 แต่เมื่อไม่นานมานี้แตบได้ข้อมูลการรักษาฝ้าด้วย "หัวผักกาดขาว" โดยการนำหัวผักกาดขาวมาล้างให้สะอาด จากนั้นปอกเปลือกทิ้งแล้วฝานเป็นแว่นบางๆ นำมาโปะบริเวณที่เป็นฝ้าก่อนนอน ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด(ทำ 4 ครั้ง/สัปดาห์)หลังจากที่แตบทดลองทำอยู่สองสัปดาห์ หลายคนทักว่าหน้ากระจ่างใสขึ้น ร่องรอยของฝ้าจางลงไปมาก ซึ่งก็สร้างความพออกพอใจให้กับแตบอย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียวเชียว
 ถ้าใครสนใจวิธีนี้ก็ลองนำไปทดลองทำดูนะคะ แต่ขอบอกก่อนว่าช่วง4-5 นาทีแรกเนี่ย มันกัดหน้าจนแสบบบบบบบบบบ..แทบทนไม่ไหวเลยล่ะค่ะ(ใครไม่แสบก็แสดงว่าหน้าด้านหน้าทนผิดปกติ) แต่ด้วยความที่อยากสวย แตบจึงยอมทน ซึ่งพอผ่านพ้นช่วงเวลาด้งกล่าวไปได้ จะรู้สึกเย็นสบายหายแสบไปเยอะเลย อ้อ!วิธีนี้จะทำให้ผิวหน้าบางได้ ดังนั้นรุ่งเช้าก่อนออกบ้านไปทำงานหรือเผชิญแสงแดดก็ห้ามลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งนะคะ ไม่งั้นแทนที่จะทุเลากลับกลายเป็นหนักกว่าเดิมเอาได้
 นอกจากวิธีสวยด้วย "หัวผักกาด" แล้ว ยังมีวิธีบำรุงรักษาผิวหน้าด้วยพืชผักชนิดต่างๆอีกมากมาย ที่ http://benjawanbo.wordpress.com/ ลองเข้าไปศึกษาและทดลองทำดูนะคะ ถึงจะได้ผล หรือไม่ได้ผลบ้าง แต่อย่างน้อยๆก็เสี่ยงน้อยกว่าใช้สารเคมีแหละค่ะ..เชื่อแตบสิคะ

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

นางสิงห์ซุ่ม

     ห่างหายและว่างเว้นจากการเขียนบล็อกไปพักใหญ่ๆ จนทำให้บางคนอดสงสัยไม่ได้ว่า มาดามแตบหายไปไหน .. ไปทำอะไร กับใคร และเมื่อไร? เปล่าเลยค่ะ แตบยังอยู่ที่เดิมและสบายดี แต่ที่เงียบไปเพราะ "เบื่อๆๆและโคตรเบื่อสังคมออนไลน์" เท่านั้นเอง
     ตั้งแต่เริ่มเล่นอินเตอร์เนตมาสามปีกว่าๆ แตบก็เสียเวลาในแต่ละวันไปไม่ใช่เน้อย จนทำให้เผลอละเลยเรื่องของตัวเองไปมากมายหลายอย่าง ไหนจะสามี ,สัตว์เลี้ยง และต้นไม้น้อยใหญ่ที่แตบปลูกไว้รายรอบบ้านอีกเล่า ทุกสิ่งอย่างล้วนต้องการการดูแลและความใส่ใจจากแตบทั้งสิ้น กว่าจะรู้ตัวได้ก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว..โชคดีมากๆที่มันแค่ "เกือบ"
      หลังจากที่ซุ่มเงียบดูแลปัญหาของตัวเองกับเรื่องภายในครอบครัวจนผ่านพ้นด้วยดีแล้ว วันนี้จึงถือโอกาสนำภาพผลงานจากฝีมือของตัวเองมาแปะให้ชมกัน(อยากอวดน่ะคะ แต่ไม่ต้องการจะพูดมาก อิอิ )
 สวนหย่อมเล็กๆที่ลานหน้าบ้าน(ยังไม่เสร็จนะคะ..งบประมาณแผ่นดินหมด)

สร้างโต๊ะทำงานตัวใหม่(จากบานประตู)

สร้างชั้นนอนให้น้องแมว

คิดเย็บเสื้อพยุงตัวแมวพิการบนรถเข็น(กันถลอก)


และสุดท้าย..กล้วยไม้ช่องามบานสะพรั่ง(ผลพวงจากความใส่ใจ)