ตอนเด็กๆแตบชอบปีนป่ายขึ้นไปร้องเต้น,เล่นละครบนต้นตะขบใหญ่ที่หัวนาของพ่อเป็นประจำ อาจเพราะบนนั้นร่มรื่นและเย็นสบาย อีกอย่าง..การที่ได้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงนั้นก็ยังช่วยให้สามารถมองทิวทัศน์ในมุมที่ต่างออกไปจากที่เคย ซึ่งเอื้อแก่จินตนาการอันบรรเจิดของเด็กช่างฝันคนหนึ่งได้อย่างวิเศษสุด
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป แตบเริ่มละทิ้งโลกแห่งจินตนาการในวัยเยาว์ของตนเองไว้เบื้องหลัง เพื่อมุ่งหน้าไปเรียนรู้และสัมผัสชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง กาลเวลาที่พ้นผ่านไปไม่หยุดหย่อนนั้นสอนให้แตบรู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญมันสอนให้เห็นว่า"โลกแห่งความฝัน" กับ "โลกแห่งความเป็นจริง" นั้น แตกต่างกันอย่างไร
แตบเองก็คงไม่ต่างกับทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนความแปรผันของวันเวลา ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นเท่าไร ยิ่งมีเรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามามากขึ้นเท่านั้น มากเสียจนทำให้เผลอลืมเลือนความทรงจำอันดีไปอย่างไม่ตั้งใจอยู่บ่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ความทรงจำดีๆของช่วงเวลาในอดีตก็ถูกพรากไปนับไม่ถ้วน..รวมทั้งเรื่องโลกแห่งความฝันบนต้นตะขบในตอนเด็กนั้นด้วย แล้วความฝันในเวลานั้นของแตบล่ะ..คืออะไร?(นั่นนะสิ)
และแล้ววันหนึ่ง ชีวิตแตบก็มีโอกาสกลับมาใกล้ชิดกับตะขบอีกครั้ง วันที่แตบมาสำรวจสภาพบ้านก่อนจะตัดสินใจซื้อเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วนั้นแตบเห็นมีตะขบต้นใหญ่ที่ริมรั้วบ้านร้างหลังข้างๆอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่งถูกริดกิ่งก้านที่เหลื่อมล้ำเข้ามายังบ้านหลังที่แตบจะซื้อไปหมาดๆ กะประมาณอายุจากลำต้นสูงใหญ่และกิ่งก้านรกครื้มแล้วน่าจะราว 10 ปีเป็นอย่างต่ำ แรกๆที่แตบย้ายเข้ามาอยู่นั้น แตบมีโครงการจะตัดโค่นทำลาย แต่เนื่องจากมันไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของแตบโดยตรง จึงทำได้เพียงตัดกิ่งก้านที่โผล่พ้นเข้ามาในรั้วบ้านเท่านั้นเอง แต่จะว่าไปแล้วแตบก็ยังได้รับประโยชน์จากมันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะขยันทิ้งผลสลัดใบจนเกลื่อนกลาดสกปรกให้เก็บกวาดทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดแตบและเพื่อนบ้านระแวกนั้นยังได้ร่มเงาและอากาศบริสุทธิ์เป็นการตอบแทนกลับคืน อีกทั้งเจ้านกน้อยนกใหญ่หลายสายพันธุ์ยังใช้เป็นที่พักพิงอาศัยยามค่ำคืนด้วย แน่นอนว่าทุกเช้า-เย็น พวกมันจะส่งเสียงเจื้อยแจ้วขับขานชวนเพลิดเพลินจำเริญใจได้ไม่น้อย ยิ่งในตอนเช้าด้วยแล้ว เสียงเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งแห่งธรรมชาติจากเจ้านกฝูงนั้นช่างชวนให้เบิกบานอย่างไม่น่าเชื่อ..โลกใบเล็กของแตบสวยงามและน่าอยู่ขึ้นมากโขเลยทีเดียว
ไม่เคยนึกมาก่อนว่าชีวิตจะมีโอกาสกลับมาเกี่ยวพันกับต้นตะขบอีกครั้ง แม้ว่าคราวนี้ แตบจะแค่ปีนป่ายขึ้นไปริดกิ่งก้านไม่ให้รกครื้มจนล้ำเส้นเท่านั้นก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ขึ้นไปอยู่บนคาคบของมัน ความทรงจำที่เคยถูกลืมเลือนไปเนิ่นนานเมื่อร่วม 30 ปีที่แล้ว ก็กลับมาสะกิดเตือนให้แตบคิดถึงมันได้ทุกที ไม่รูว่าป่านนี้ต้นตะขบที่หัวนาของพ่อต้นนั้น จะยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่หรือไม่ สัญญาว่าถ้ามีโอกาสกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ แตบจะแวะไปโอบกอดมันแน่นอน..ถ้ามันยังอยู่
2 ความคิดเห็น:
ชอบบทความนี้ของคุณแตบมากมาย
เป็นเรื่องราวที่น่ารัก
และชวนให้คิดถึง
ความทรงจำในตอนเด็กเด็ก
คือผมมักไปร่วมก้วนเด้กเด้ก
ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
ที่หลังบ้านของคุณลุง
เป็นลานนั่งเล่น
ที่มีต้นตะขบต้นใหญ่มากมาก
ยังเคยถ่ายรูปหมู่เด็กเด็กรวมกลุ่ม
ใต้ต้นตะขบต้นนี้
และยังคงแอบคิดถึงอยู่
เพราะคุณลุงย้ายไปแล้ว
เลยไม่มีโอกาสนั่งเล่นตรงนั้นอีก^^
ดีใจที่มีคนชอบบทความนี้ค่ะ
หลังๆมานี้ ชีวิตแตบมีเรื่องให้คิดและแก้ปัญหามากไปหน่อย เลยขาดสมาธิในการเขียน(จริงๆแล้วร่างไว้หลายเรื่อง แต่ยังเขียนต่อไม่สำเร็จสักที)
ปัจจุบันนี้ตะขบต้นดังกล่าว กลายเป็นซากไปแล้วค่ะ ด้วยความที่มันเป็นไม้โตเร็วและขยันทำบ้านเลอะเทอะนี่แหละ ที่ทำให้ต้องตัดกิ่งก้านมันทิ้งบ่อยๆ ตัดไปตัดมามันก็ขาดใจตายไปดื้อๆซะงั้น
พอต้นไม้ตาย นกก็หาย นานๆจะมีหลงมาเกาะตอร้องเพลงให้ฟังสักที แต่ความรู้สึกที่ได้รับ มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วค่ะ
แสดงความคิดเห็น