วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตะขบข้างบ้าน


ตอนเด็กๆแตบชอบปีนป่ายขึ้นไปร้องเต้น,เล่นละครบนต้นตะขบใหญ่ที่หัวนาของพ่อเป็นประจำ อาจเพราะบนนั้นร่มรื่นและเย็นสบาย อีกอย่าง..การที่ได้ขึ้นไปอยู่บนที่สูงนั้นก็ยังช่วยให้สามารถมองทิวทัศน์ในมุมที่ต่างออกไปจากที่เคย ซึ่งเอื้อแก่จินตนาการอันบรรเจิดของเด็กช่างฝันคนหนึ่งได้อย่างวิเศษสุด
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป แตบเริ่มละทิ้งโลกแห่งจินตนาการในวัยเยาว์ของตนเองไว้เบื้องหลัง เพื่อมุ่งหน้าไปเรียนรู้และสัมผัสชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง กาลเวลาที่พ้นผ่านไปไม่หยุดหย่อนนั้นสอนให้แตบรู้จักความหมายของชีวิตมากขึ้น ที่สำคัญมันสอนให้เห็นว่า"โลกแห่งความฝัน" กับ "โลกแห่งความเป็นจริง" นั้น แตกต่างกันอย่างไร
แตบเองก็คงไม่ต่างกับทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนความแปรผันของวันเวลา ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นเท่าไร ยิ่งมีเรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามามากขึ้นเท่านั้น มากเสียจนทำให้เผลอลืมเลือนความทรงจำอันดีไปอย่างไม่ตั้งใจอยู่บ่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ความทรงจำดีๆของช่วงเวลาในอดีตก็ถูกพรากไปนับไม่ถ้วน..รวมทั้งเรื่องโลกแห่งความฝันบนต้นตะขบในตอนเด็กนั้นด้วย แล้วความฝันในเวลานั้นของแตบล่ะ..คืออะไร?(นั่นนะสิ)
และแล้ววันหนึ่ง ชีวิตแตบก็มีโอกาสกลับมาใกล้ชิดกับตะขบอีกครั้ง วันที่แตบมาสำรวจสภาพบ้านก่อนจะตัดสินใจซื้อเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วนั้นแตบเห็นมีตะขบต้นใหญ่ที่ริมรั้วบ้านร้างหลังข้างๆอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะเพิ่งถูกริดกิ่งก้านที่เหลื่อมล้ำเข้ามายังบ้านหลังที่แตบจะซื้อไปหมาดๆ กะประมาณอายุจากลำต้นสูงใหญ่และกิ่งก้านรกครื้มแล้วน่าจะราว 10 ปีเป็นอย่างต่ำ แรกๆที่แตบย้ายเข้ามาอยู่นั้น แตบมีโครงการจะตัดโค่นทำลาย แต่เนื่องจากมันไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของแตบโดยตรง จึงทำได้เพียงตัดกิ่งก้านที่โผล่พ้นเข้ามาในรั้วบ้านเท่านั้นเอง แต่จะว่าไปแล้วแตบก็ยังได้รับประโยชน์จากมันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะขยันทิ้งผลสลัดใบจนเกลื่อนกลาดสกปรกให้เก็บกวาดทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดแตบและเพื่อนบ้านระแวกนั้นยังได้ร่มเงาและอากาศบริสุทธิ์เป็นการตอบแทนกลับคืน อีกทั้งเจ้านกน้อยนกใหญ่หลายสายพันธุ์ยังใช้เป็นที่พักพิงอาศัยยามค่ำคืนด้วย แน่นอนว่าทุกเช้า-เย็น พวกมันจะส่งเสียงเจื้อยแจ้วขับขานชวนเพลิดเพลินจำเริญใจได้ไม่น้อย ยิ่งในตอนเช้าด้วยแล้ว เสียงเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งแห่งธรรมชาติจากเจ้านกฝูงนั้นช่างชวนให้เบิกบานอย่างไม่น่าเชื่อ..โลกใบเล็กของแตบสวยงามและน่าอยู่ขึ้นมากโขเลยทีเดียว
ไม่เคยนึกมาก่อนว่าชีวิตจะมีโอกาสกลับมาเกี่ยวพันกับต้นตะขบอีกครั้ง แม้ว่าคราวนี้ แตบจะแค่ปีนป่ายขึ้นไปริดกิ่งก้านไม่ให้รกครื้มจนล้ำเส้นเท่านั้นก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ขึ้นไปอยู่บนคาคบของมัน ความทรงจำที่เคยถูกลืมเลือนไปเนิ่นนานเมื่อร่วม 30 ปีที่แล้ว ก็กลับมาสะกิดเตือนให้แตบคิดถึงมันได้ทุกที ไม่รูว่าป่านนี้ต้นตะขบที่หัวนาของพ่อต้นนั้น จะยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่หรือไม่ สัญญาว่าถ้ามีโอกาสกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ แตบจะแวะไปโอบกอดมันแน่นอน..ถ้ามันยังอยู่

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การผจญภัยของ "ศุภโชค"


นอกจากสุนัขแล้ว ที่บ้านแตบยังเลี้ยงแมวอีก 6 ตัว โดยที่ 4 ตัวเลี้ยงบนห้องทำงานซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องโล่งๆไปแล้ว(ให้แมวอยู่โดยเฉพาะ) ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือนั้น แตบให้กินอยู่หลับนอนที่ชั้นล่างของบ้าน และนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บ้านแตบมีโอกาสต้อนรับเจ้าแมวขาจรที่ชื่อ "ศุภโชค" ก็เป็นได้
จะด้วยเหตุผลที่ว่าแมว 2 ตัวที่บ้านชั้นล่างของแตบ(โนวา กับ เฮงเฮง)เป็นตัวเมีย หรือเพราะถาดอาหารเม็ดที่แตบคอยเติมเต็มตลอดก็ไม่รู้ ที่ดึงดูดเจ้าแมวจรจัดเพศผู้ตัวใหญ่หน้าตามอมแมมให้แวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ จนกลืนกลายเป็นสมาชิกขาประจำของบ้านแตบไปในที่สุด แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ช่างเถอะ ไหนๆเจ้าแมวขาจรตัวนี้ก็ไว้วางใจจนสามารถอาศัยชายคาบ้านแตบเป็นที่พักพิงหลับนอนทุกค่ำคืนไปแล้ว
ช่วงระยะเริ่มแรกที่เจ้าแมวมอมแมมตัวใหญ่นี้แอบย่องเข้ามาทางเรือนกล้วยไม้หลังบ้าน ดูเหมือนมันจะยังประหม่าและระแวดระวังตัวอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่แตบส่งเสียงหรือขยับตัว มันจะกระโจนพรวดไปตั้งหลักบนกำแพงทันที รอจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วถึงจะย่องกลับเข้ามาใหม่ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นช่วงหน้าฝนที่มีฝนตกกลางคืนเกือบทุกวัน เจ้าแมวถึกมักเปียกโชกอยู่เป็นประจำ แตบอยากจับมาเช็ดตัวและพาเข้านอนในบ้าน แต่มันก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ถึงจะพยายามแสดงความเป็นมิตรอย่างจริงใจให้เห็นก็ตามที กว่าเจ้าแมวใหญ่จะไว้วางใจจนยอมให้อุ้มให้จับแต่โดยดีได้ แตบก็โดนตะปบกัดจนเลือดสาดมาแล้วหลายหนจนนับไม่ถ้วน หลังจากที่เราต่างทำความคุ้นเคยและเชื่อใจซึ่งกันและกันแล้ว แตบก็ตั้งชื่อให้ว่า "ศุภโชค" ซึ่งแปลว่า "โชคดี" เพื่อความเป็นศิริมงคลกับชีวิตของแมวเร่ร่อนจรจัดอย่างมันนั่นเอง หลังจากที่คุ้นเคยกันแตบก็จับมาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณและรักษาแผลเรื้อรังที่เหวอะหวะตามตัว รวมทั้งจัดที่หลับนอนในบ้านให้ ซึ่งเจ้าศุภโชคก็อาศัยนอนเพียงช่วงกลางคืนเท่านั้นเอง พอวันรุ่งขึ้นก็เผ่นไปผจญภัยในโลกกว้างอย่างที่เคยเป็น บางครั้งหายหน้าหายตาไปหลายวัน แต่พอโผล่มาทีไรก็นำแผลเก่าแผลใหม่มาอวดซะทุกครั้ง..รักษาไม่เคยหายสักที ถึงจะเป็นเพียงเจ้าแมวจรจัด แต่ก็นับว่าชีวิตของเจ้าศุภโชคยัง "โชคดี" อยู่ไม่น้อย ที่มีทำเลให้เร่ร่อนอยู่ในย่านของคนรักสัตว์ ทั้ง "อ.สมชาย","พี่เปี๊ยก" และ "ใครต่อใครอีกมากมายหลายคน" ที่ต่างให้ความรักความเมตตากับมันไม่น้อยไปกว่ากัน เรียกได้ว่าชีวิตไม่เคยอดสูเลยทีเดียวเชียวแหละ
 อาจเป็นเพราะความเมตตากรุณาของคนในย่านบ้านแตบนั่นเอง ที่ทำให้เจ้าศุภโชคยสมัครใจที่จะทำตัวเป็นแมวไร้หลักแหล่งที่แน่นอนเช่นนั้นมาโดยตลอด แม้ว่าร่างกายภายนอกจะเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้กับแมวจรจัดตัวอื่นก็ตามที แต่แตบก็เชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็คงมีความสุขอยู่บ้างที่ได้เดินทางท่องเที่ยวผจญภัยอย่างอิสระในโลกของมัน