วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

สิงหาพาเศร้า


ชีวิตของคนเรามีโอกาสถูกโชคชะตาเล่นตลกอยู่บ่อยๆโดยไม่เลือกวันเวลา หลายครั้งที่โชคชะตานำพาเราไปพบเจอคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก แต่ยังไม่ทันที่เราจะชื่นชมให้สมใจ โชคชะตากลับแย่งชิงช่วงเวลานั้นไปจากเราโดยไม่ปล่อยให้ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด
 บ่ายของวันที่6 สิงหาคมที่เพิ่งผ่านไป ครอบครัวแตบมีโอกาสได้ต้อนรับสุนัขเพศผู้พันธุ์พุดเดิ้ลสีดำรูปร่างค่อนข้างผอมวัย 6 ขวบตัวหนึ่งเข้าบ้าน เดิมทีมันชื่อ "เจ้าแบล็ค" แต่แตบตั้งชื่อใหม่ว่า "บูกี้" เรื่องของเรื่องมันเกิดจากย้อนหลังไปก่อนนั้นหนึ่งวัน ขณะที่แตบกลับจากซื้ออาหารสัตว์ที่ตลาดด้วยบริการของแท็กซี่ แตบมีโอกาสพูดคุยและรับรู้ปัญหาของคนขับรถรับจ้างคันดังกล่าว เขาเล่าว่ากำลังมีปัญหาหนักอกเรื่องสุนัขที่เลี้ยงไว้ ด้วยความที่ทั้งคนขับแท็กซี่และภรรยาต่างก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ จึงทำให้ไม่มีเวลาดูแลสุนัขตัวดังกล่าวให้ดีได้เท่าที่ควรจะเป็น เวลาที่ทั้งสองออกไปทำงานจึงได้แต่ปล่อยให้สุนัขเผชิญชะตากรรมอยู่เพียงลำพังภายในบริเวณแฟลต เหตุนี้เองที่ทำให้สุนัขตัวดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนรำคาณด้วยการเห่าหอนและขับถ่ายเรี่ยราดไม่เป็นที่ จนถูกไล่ตีนับครั้งไม่ถ้วน วันดีคืนดีก็มีชาวแฟลตข่มขู่จะวางยาพิษ หลังจากรับฟังปัญหาแล้วแตบก็พลอยเครียดตามไปด้วย รู้สึกสงสารเจ้าหมาน้อยขึ้นมาจับใจ อย่างน้อยที่สุด ครั้งหนึ่งแตบก็เคยมีประสบการณ์แย่ๆแบบนี้มาก่อน สุดท้ายแล้วแตบจึงตัดสินใจยื่นมือให้การช่วยเหลือ ด้วยการรับเจ้าพุดเดิ้ลสีดำตัวนั้นมาอุปการะเสียเอง ตอนที่ภรรยาคนขับแท็กซี่อุ้มเจ้าบูกี้มาส่งให้แตบที่บ้าน วันนั้นอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เจ้าบูกี้แสดงแววตาเศร้าสร้อย มันขัดขืนเล็กน้อยตอนที่แตบรับมาอุ้มครั้งแรก เจ้าของมันส่งถุงอาหารเม็ดให้แตบขณะที่พูดฝากฝังสองสามคำก่อนผละเดินจากไปโดยไม่หันมามองมันอีก เจ้าบูกี้ได้แต่ร้องหงิงๆในลำคอและมองตามเจ้าของเดิมด้วยสายตาละห้อย หลังจากรับตัวเข้าบ้าน แตบก็ได้แต่กอดและลูบหัวปลอบใจอยู่เนิ่นนาน ถึงกระนั้นเจ้าหมาน้อยยังไม่วายที่จะเฝ้ามองและวิ่งไปเกาะประตูรั้วเกือบทั้งคืน คล้ายจะรอการกลับมาของเจ้าของเดิมเสียอย่างนั้น เห็นแล้วก็ได้แต่สลดหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก กว่าที่เจ้าบูกี้จะยอมรับและวางใจแตบก็ต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆเลยทีเดียว แต่พอยอมรับแตบได้เจ้าบูกี้ก็ตามติดแตบไม่ยอมห่าง ไม่ว่าจะขยับตัวไปมุมไหนของบ้าน เป็นต้องมีบูกี้วิ่งตามทุกครั้งไป ย่างเข้าวันที่สี่และห้าแห่งชีวิตในบ้านหลังใหม่ของพุดเดิ้ลน้อย แตบสังเกตุเห็นบูกี้ไอและจามบ่อยๆ กินอาหารได้น้อยลง ร่างกายดูผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แตบจึงรีบพาไปหาหมอที่คลีนิคใกล้บ้าน หลังจากตรวจเช็คอาการแล้วจึงได้ทราบว่า บูกี้ป่วยเป็นปอดบวม แตบรักษากับคลีนิคดังกล่าวอยู่สี่วันด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าที่อื่นแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายสุนัขอีก 5 ตัวที่บ้านแตบก็พาลป่วยติดเชื้อไปตามๆกัน แตบจึงตัดสินใจเปลี่ยนที่รักษาใหม่ คราวนี้หมอรับตัวบูกี้ไปอบความร้อนและรักษาตัวที่คลีนิคอยู่ 3 คืน ในขณะที่สุนัขอีก 5 ตัวที่บ้านแตบก็ต้องรักษาตัวด้วยเช่นกัน โชคดีที่อาการไม่หนักหนาเหมือนบูกี้ หมอจึงแวะมาฉีดยาที่บ้านและจัดยากินให้ตามอาการของแต่ละตัว หลังจากบูกี้มีอาการดีขึ้น หมอจึงอนุญาตให้แตบรับตัวมาดูแลต่อที่บ้าน ไม่ช้าไม่นานบูกี้ก็กลับมากินอาหารได้ตามปกติจนแช็งแรงและดูร่าเริงขึ้น ตอนนั้นแตบเริ่มปรึกษาเรื่องการทำวัคซีนกับหมอแต่ได้รับคำแนะนำว่า รอให้บูกี้แข็งแรงกว่านี้ก่อน แต่ไม่ทันที่ทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผน เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงสัปดาห์ บูกี้เริ่มเซื่องซึมจนผิดปกติอีกครั้ง คราวนี้แตบสังเกตุเห็นอาการขากรรไกรกระตุกและถ่ายเหลวเป็นสีน้ำตาล เวลาเดินมักมีอาการโซเซไปมาคล้ายคนเมา แตบจึงรีบนำตัวส่งไปวินิจฉัยอาการอีกครั้ง แล้วก็ได้รับคำตอบว่าบูกี้ป่วยเป็น "ไข้หัดขึ้นสมอง" ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูที่ไม่ใส่ใจของเจ้าของเดิม จำเป็นอย่างยิ่งที่หมอต้องรับตัวไว้ดูแลอีกครั้งแม้ว่าครั้งนี้โอกาสที่จะหายนั้นลางเลือนเต็มที แต่เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้สุนัขอีก 5 ตัวในบ้านของแตบ ที่ตอนนั้นเริ่มทะยอยหายป่วยจากอาการปอดบวมที่ละตัวแล้ว หมอจึงต้องแยกบูกี้ออกไปรักษาอย่างเป็นสัดส่วน
ตลอดระยะเวลากว่า 10 วันที่แตบฝากบูกี้ไว้กับหมอนั้น ชีวิตแตบเต็มไปด้วยความกังวลจนเป็นทุกข์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกข์เพราะคิดถึงและเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรับบูกี้มาเลี้ยงได้ไม่นาน แต่แตบก็รักและผูกพันอย่างไม่มีเหตุผล ทุกครั้งที่คิดถึงบูกี้ ภาพที่มันเกาะประตูรั้วมองหาเจ้าของเดิมก็ผุดขึ้นมารังควานจิตใจแตบเสมอ ยิ่งได้ทราบข่าวจากหมอว่าอาการของมันเริ่มแย่ลงเรื่อยๆตามลำดับ ยิ่งทำให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก แตบเคยคิดที่จะให้หมอใช้วิธี "หลับ" เพื่อไม่ให้ทรมานไปกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าพอ ได้แต่หวังว่า สักวันบูกี้คงจะดีขึ้น แม้จะหมดค่ารักษาไปอีกเท่าไร แตบกับสามีก็ยอม แต่สุดท้ายบูกี้ก็หมดทางต่อสู้และจากแตบไปในคืนวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ที่แตบรู้สึกแย่ไปกว่านั้นคือการที่ไม่มีโอกาสพบหน้ามันเป็นครั้งสุดท้ายเลย เนื่องจากหมอต้องนำร่างไปทำลายเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อนั่นเอง
หมอรับหน้าที่จัดการกับร่างไร้วิญญาณของบูกี้ไปแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของแตบจึงมีเพียง "ทำใจ" เพื่อยอมรับความสูญเสียในครั้งนี้ให้สำเร็จเท่านั้นเอง..หลับให้สบายนะบูกี้ลูกรัก

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

อิ่มบุญ

ถ้าใครแอบติดตามอ่านบล็อกของแตบมาตลอด ก็คงพอจะจำเรื่อง "โปรเจคบุญ" และ "ครูห่อหมก" ที่แตบเชิญชวนบริจาคทุนทรัพย์และสิ่งของเพื่อช่วยเหลือคุณครูบุปผา หมุนสา ที่โรงเรียนวิชาวดี ต.ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ได้นะคะ
 เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา แตบนำเรื่องนี้ไปไปโพสเชิญชวนเพื่อนสมาชิกในเวบบอร์ดนางงามที่แตบเป็นสมาชิกอยู่ เพื่อระดมความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน ซึ่งก็มีสมาชิกให้ความสนใจพอสมควร มีสมาชิกหลายคนติดต่อให้การสนับสนุนเข้ามาเป็นระยะๆ บางคนช่วยด้วยกำลังทรัพย์ไม่ได้แต่ก็ให้กำลังใจ บางคนอยู่ถึงต่างประเทศแต่ก็ยังมีน้ำใจโอนเงินมาสมทบมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันเพื่อนๆที่ร่วมเป็นแกนนำก็อาสาช่วยกันระดมทุนในหน่วยงานของแต่ละคนเป็นการใหญ่ แตบเองก็ถือโอกาศนี้บอกบุญพี่ๆที่คุ้นเคยในระแวกบ้านด้วย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อโครงการเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น แตบจึงโทรศัพท์แจ้งกำหนดวันและเวลาในการเดินทางไปเยี่ยมเยียนคุณครูบุปผาให้ท่านทราบ แรกๆที่พูดคุยทางโทรศัพท์ ดูเหมือนท่านจะประหลาดใจพอสมควร แต่หลังจากที่แตบแนะนำตัวและอธิบายรายละเอียดแล้วท่านก็เข้าใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 และแล้ว วันที่ 28 ก.พ. 2552 ซึ่งเป็นกำหนดการณ์การเดินทางก็มาถึง แตบพร้อมเพื่อนสมาชิกกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง จ.นครสวรรค์ในเช้าวันนั้น ในรถคันที่เป็นกลุ่มของแตบมีสมาชิกรวม 5 คน ระหว่างทางมีเพื่อนสมาชิกคนหนึ่งยืนรอมอบอุปกรณ์เครื่องเขียนให้เราได้แวะรับด้วย เสียดายที่น้องคนนั้นติดสอบจึงร่วมเดินทางไปกับเราไม่ได้ ระหว่างทางมีเพื่อนสมาชิกที่ร่วมบริจาค(แต่ไม่ได้ร่วมเดินทาง)โทรศัพท์ติดต่อทักทายและให้กำลังใจเข้ามาเป็นระยะๆ ทำให้บรรยากาศที่อบอุ่นอยู่แล้วยิ่งทวีความอบอุ่นมากขึ้น มากถึงขนาดที่ทำให้เราลืมเรื่องระยะทางไกลๆไปเลยทีเดียว
  แตบและกลุ่มเพื่อนๆในรถ ต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนานไปตลอดทาง ไม่ช้าไม่นานเราก็ถึงปั๊ม ปตท.ซึ่งเป็นจุดนัดหมาย มีเพื่อนอีกคนที่เดินทางมาจาก จ.กำแพงเพชร นั่งรอกลุ่มของเราอยู่ก่อนแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนสมาชิกอีกคนเดินทางจาก จ.นนทบุรีมาสมทบ สรุปแล้วในการเดินทางไปบำเพ็ญประโยชน์ครั้งนี้ของพวกเรา มีสมาชิกที่ร่วมเดินทางทั้งหมด 7 คน
 หลังจากพูดจาทักทายกันพอหอมปากหอมคอ พวกเราก็ไม่รีรอ เริ่มลงมือตรวจนับและตรวจเช็คหลักฐานการบริจาคต่างๆทันที รวมยอดเงินบริจาคทั้งหมดได้ 23,600 บาท(สองหมื่นสามพันหกร้อยบาทถ้วน) นับว่าเป็นยอดเงินที่มากเกินกว่าที่เราคาดหมายเอาไว้เสียอีก ทุกคนยินดีปรีดากันถ้วนหน้า ที่เห็นยอดบริจาคมากมายอย่างนั้น พวกเราถ่ายรูปร่วมกันบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อในตัวเมืองเพื่อเป็นหลักฐานในกิจกรรมอันบริสุทธิ์ครั้งนี้ ก่อนจะหอบเงินบริจาคที่รวบรวมได้ก้อนนั้นมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนวิชาวดี ซึ่งอยู่ถัดออกไปอีกไปไกลนัก ขับรถไม่นานก็ถึงทางเข้าโรงเรียน แต่ช่างเป็นทางเข้าโรงเรียนที่ค่อนข้างจะเปลี่ยว และลึกพอสมควร สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่และป่าหญ้ารกท่วม ไม่แปลกใจเลยค่ะ ที่หลายคนในจังหวัดนครสวรรค์ไม่เคยรู้จักโรงเรียนแห่งนี้มาก่อน และแล้วเราก็เดินทางถึงโรงเรียนวิชาวดีอันเป็นจุดหมายปลายทางของเรา ดูเหมือนว่างานเลี้ยงต้อนรับอะไรสักอย่างเพิ่งจะเลิกราไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง ทราบภายหลังว่า บ.ซีพี เดินทางมาเลี้ยงอาหารเด็กๆนั่นเอง(ดีใจแทนเด็กๆจัง) แตบมองเห็นคุณครูบุปผายืนมองรถยนต์ของพวกเราด้วยความประหลาดใจ(สงสัยครูคงจะจำที่แตบโทรนัดหมายไม่ได้..หรืออาจจะจำได้แต่ยังไม่แน่ใจ) แต่ยังไม่ทันที่พวกเราก้าวลงจากรถ ท่านก็ยิ้มต้อนรับพร้อมยกมือไหว้คณะสมาชิกของเราทุกคน จนพวกเราแทบยกมือขึ้นไหว้ครูแทบไม่ทัน ไม่รอช้าค่ะ พวกเรารีบชิงแนะนำตัวพร้อมบอกกล่าวจุดประสงค์ในการมาเยือนทันที ครูกล่าวต้อนรับ และขอบคุณพวกเราเป็นการใหญ่ รอยยิ้มของครูบ่งบอกถึงความปลาบปลื้มยินดี(สีหน้าและแววตาของครูเป็นภาพที่น่าประทับใจมากค่ะ) น้องๆคณะครูในโรงเรียนก็ออกมาไหว้สวีสดีพวกเราอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะกุลีกุจอหาน้ำท่ามาต้อนรับ
พวกเราอารัมบทกับครูเล็กน้อยก่อนจะมอบเงินบริจาคที่พวกเรารวบรวมได้จากทั่วสารทิศก้อนนั้นให้กับครูเพื่อเป็นทุนในการใช้จ่ายสำหรับเด็กๆต่อไป โดยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ช่วงที่คุณครูบุปผาและทางโรงเรียนเลี้ยงอาหารกลางวันแก่พวกเรานั้น ท่านได้ให้เกียรติเล่าประวัติความเป็นมาของโรงเรียน และเปิดเผยถึงสาเหตุในการอุปการะเด็กยากจนให้พวกเราฟัง ทุกคนฟังด้วยความตั้งใจ บางช่วงบางตอนที่ครูเล่าทำเอาพวกเราหลายคนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นการเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้เราได้รับรู้ว่า ความเสียสละของคุณครูบุปผานั้นมากมายกว่าที่แตบเคยรู้มาเสียอีก ถึงแม้จะมีหน่วยงานเอกชนหลายแห่งหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้เป็นระยะ แต่สภาพโรงเรียนที่พวกเราเห็นนั้นก็ยังดูไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากอาคารเรียนที่มีอยู่เพียงอาคารเดียวนั้นค่อนข้างจะเก่าแก่มากแล้ว เมื่อฤดูน้ำหลากมาถึง ชั้นล่างของอาคารหลังนี้จะถูกน้ำท่วมจนเสียหายทุกครั้งไป หากต้องปลูกสร้างใหม่คงจะไม่ไหวแน่นอน เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมาก ทางเดียวที่พอทำได้คือ ปรับปรุงซ่อมแซมส่วนที่เสียหายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะซ่อมไม่ไหวนั่นเอง แตบอดนึกเล่นๆไม่ได้ว่า ถ้าวันหนึ่งวันใด ไม่มีแม่พระอย่างคุณครูบุปผาแล้ว โรงเรียนแห่งนี้จะเป็นอย่างไร จะมีใครสืบสานเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของครูต่อไปไหม? อนาคตของเด็กยากจนและเด็กเร่ร่อนจะเป็นอย่างไร?..คิดแล้วใจหายจริงๆค่ะ

เสียดายที่วันนั้นเรามีเวลาอยู่ไม่มาก เนื่องจากมีเพื่อนที่ร่วมเดินทางต้องรีบกลับไปทำภารกิจกิจที่อื่นต่อ แต่ก่อนกลับเราถ่ายรูปกับครูไว้เป็นที่ระลึก และสัญญาว่าจะหาโอกาศกลับไปเยี่ยมโรงเรียนวิชาวดีอีกครั้ง ท่านยิ้มขณะที่น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งยินดี แตบและเพื่อนๆในถานะที่เป็นผู้ให้ต่างปลาบปลื้ม และอิ่มเอมใจไปตามๆกัน ..นี่หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่า "อิ่มบุญ"??
ยังมีคนดีในสังคมที่ยังต่อสู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในหลายรูปแบบ ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป แตบอยากวิงวอนให้คุณผู้อ่านทุกคนลองกวาดตามองไปรอบๆตัวบ้างสักครั้ง หากมีโอกาสก็ลองหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เขา หรือ เธอ เหล่านั้นบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่า ความสุขที่เกิดจากการให้มันอิ่มเอมและยิ่งใหญ่มากว่าความสุขที่ได้จากผับ-บาร์หรือสถานบันเทิงที่คุณวิ่งเร่ตามหาเสียอีก
แตบขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกไทยมิสดอทคอมทุกคน และพี่-น้องนอกบอร์ดที่มี "น้ำใจ" และให้การสนับสนุนกิจกรรมครั้งนี้ ขอบคุณทุกคนที่ไม่ปล่อยให้คนดีของสังคมอย่าง "คุณครูบุปผา หมุนสา" ต้องโดดเดียวค่ะ

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เมื่อสิ่งที่เรียกว่าความเจริญเดินทางมาถึง

หลังจากที่หมกตัวอยู่แต่ในถ้ำมานานหลายเดือน แล้วในที่สุดวันนี้แตบก็มีโอกาสเดินทางออกนอกบ้านเข้าชุมชนเมืองเสียที(ไปซื้อของใช้ย่านบางกะปิ)
 ด้วยความที่ต้องย้ายภูมิลำเนามาอยู่ในหมู่บ้านย่านชานเมืองนี้เอง ที่ทำให้วิถีการดำรงชีวิตของแตบถูกปรับเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว จากคนที่หลงใหลความคึกคักของสังคมเมือง อันศิวิไลซ์ กลายมาเป็นคนรักความเงียบสงบและชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับการได้อยู่แต่ในบ้านกับต้นไม้และสัตว์เลี้ยงเสียอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้การออกนอกบ้านครั้งนี้เป็นไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ก็ต้องไป

สิ่งแรกที่ทำให้รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆของตัวเองนั่นคือน้ำหนักเท้าและจังหวะก้าวย่าง แตบรู้สึกมันไร้น้ำหนักยังไงไม่รู้ เหมือนกำลังขาดสมดุลย์อะไรบางอย่างไป คิดๆดูก็อดขำตัวเองไม่ได้นะคะเนี่ย ไม่นึกว่าระยะเวลาเพียง 4 ปีจะเปลี่ยนแปลงความเป็น "มาดามแตบ" ได้ถึงเพียงนี้ แต่ก็เอาเถอะ นานๆจะออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน แตบนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากในหมู่บ้านไปรอรถตู้ที่ปากทางอีกต่อหนึ่ง ช่วงนี้ในย่านชุมชนของแตบกำลังมีการก่อสร้างปรับเปลี่ยนยกระดับถนนใหญ่เพื่อหนีน้ำท่วมหลังจากที่ทางเขตปล่อยให้มันมีสภาพไม่ต่างจากคลองในทุกฤดูฝนติดต่อกันมานานหลายปีดีดัก บรรยากาศบริเวณดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยหลุม-บ่อ และฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เห็นแล้วอดนึกถึงถนนในย่านชนบทเมื่อ 20 ปีก่อนไม่ได้จริงๆ บริเวณที่เคยเป็นศาลารอรถประจำทาง ถูกรื้อถอนออกไป และแทนที่ด้วยเพิงสังกะสีสภาพขี้ริ้วขี้เหร่ ใต้หลังคาเพิงแห่งนั้นมีชายวัยกลางคนนั่งรอรถอยู่ก่อนแล้ว แกกำลังกินอะไรสักอย่างจากถุงก๊อบแก๊บ(ท่าทางเอร็ดอร่อย) กินเสร็จตาลุงก็เหวี่ยงถุงใบนั้นทิ้งลงพื้นด้านหลังเพิงไปอย่างไม่ใยดี ทำให้บริเวณโดนรอบที่มีขยะเกลื่อนกลาดอยู่ก่อนแล้วเพิ่มจำนวนขึ้นอีก 1 ชิ้น ปล่อยให้ถังขยะใบใหญ่ใกล้เพิงยืนมองด้วยความหิวโหย แตบเองก็ได้แต่มองดูอย่างอ่อนใจเท่านั้นเอง ทุกครึ่งชั่วโมง ถึงจะมีรถตู้โดยสารผ่านมาสักคัน ถ้าที่นั่งเต็มผู้โดยสารก็ต้องเสียเวลายืนรออีกไม่ต่ำกว่า 30 นาทีเลยทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ว่ารถเที่ยวต่อไปจะมีที่นั่งเหลืออยู่หรือเปล่า..ต้องวัดดวงกันแล้วล่ะ

สำหรับคนที่รีบร้อน แท็กซี่ และรถสองแถวจึงเป็นทางเลือกในลำดับถัดมา แต่แตบไม่ชอบนั่งรถสองแถว และเสียดายเงินค่าแท็กซี่ จึงสมัครใจที่จะยืนรอรถตู้ด้วยความใจเย็นต่อไป ขณะที่รอรถแตบก็คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามประสา ไม่ช้าไม่นานรถโดยสารที่แตบรอก็โฉบเข้ามาจอดรับแตบกับตาลุงมักง่ายคนนั้น แต่ไม่ทันที่รถจะจอดสนิท ยัยซิ้มแต่งตัวดีคนหนึ่งก็โผล่มาปาดหน้าเพื่อแซงขึ้นรถเป็นคนแรกเสียดื้อๆ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเหลือที่สำหรับผู้โดยสารคนเดียวซึ่งมันตกเป็นของยัยซิ้มไปแล้ว ปล่อยให้แตบกับตาลุงคนนั้นยืนเก้อด้วยอาการมึนงงไปชั่วขณะ ถ้านับตามคิวแล้ว ที่ตรงนั้นควรจะเป็นของตาลุงมักง่ายด้วยซ้ำไป แต่ก่อนที่แตบจะตัดสินใจโบกมือเรียกแท็กซี่นั้น ผู้ชาย 2 คนที่เบาะหน้า(ท่าทางเป็นเพื่อนคนขับ)ก็ลงจากรถเพื่อสละที่นั่งให้เรา แตบได้ยินแค่ว่า.. "ไม่เป็นไรใกล้ถึงแล้ว เดี๋ยวต่อสองแถวดีกว่า" แตบกับตาลุงมักง่ายจึงได้ที่นั่งโดยบังเอิญ ถึงแม้แตบจะอารมณ์เสียกับพฤติกรรมของยัยซิ้มเห็นแก่ตัวแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวขอบคุณผู้ชายปอนๆ 2 คนนั้นที่เสียสละที่นั่งให้กับแตบ

ตลอดทางที่แตบนั่งรถไปนั้น แตบก็คิดโน่นคิดนี้ไปเรื่อย นึกถึงภาพตาลุงมักง่ายตอนที่แกเหวี่ยงขยะลงพื้นไป นี่ถ้าเป็นสมัยผู้ว่า ดร.พิจิตรล่ะก็ ตาลุงคงจะถูกจับปรับไปแล้วแน่นอน และพอนึกถึงพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของยัยซิ้มไร้มารยาทก็อดนึกถึงการอบรมสั่งสอนของแม่แตบไม่ได้ แม่แตบเป็นคนบ้านคอกนาและเรียนจบแค่ชั้น ป.4 ก็จริง แต่แม่ก็รู้จักปลูกฝังลูกเรื่องมารยาทผู้ดีให้ลูกมาโดยตลอด สำหรับยัยซิ้มคนนี้แตบว่าท่าทางแม่ของแกคงจะลืมสอนเรื่องนี้ไปแน่ๆเลย หรืออาจจะสอนแต่แกไม่เคยจำ แต่ก็เอาเถอะค่ะ ถึงแกไม่ตัดหน้าแย่งที่นั่ง แตบก็จะเสียสละให้แกอยู่ดี เพียงแต่รู้สึกอ่อนใจกับพฤติกรรมของคนประเภทนี้เท่านั้นเอง การที่ได้เดินทางออกนอกบ้านหนนี้ แตบได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งสิ่งปลูกสร้างรูปทรงทันสมัยที่นับวันจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆราวกับดอกเห็ด ได้เห็นการปรับปรุงสภาพถนนเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัยตามศูนย์การค้า ได้เห็นผู้คนใส่ใจรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวให้ดูดีมากขึ้น(สังเกตุจากป้ายโฆษณาน้อยใจตามสถานที่ต่างๆ) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยนั่นคือ "สันดานคน"

เมื่อสิบปีที่แล้ว คนไทยจำนวนมากในสังคมเมืองมักง่ายและเห็นแก่ตัวอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น เผลอๆแย่ลงกว่าเดิมหลายเท่าตัวด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่มาพร้อมความเจริญทางด้านวัตถุจริงๆ ตกลงแล้วเรื่องนี้เป็นความผิดของวัตถุ หรือตัวบุคคล เก็บไปคิดดูเล่นๆก็แล้วกันนะคะ(หมายถึงคิดเล่นๆ อย่าคิดจริงๆ..เดี๋ยวปวดหัว)

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สีสันริมระเบียง

นอกจากการวาดรูป และศึกษาหาความรู้ทางอินเตอร์เนตแล้วงานอดิเรกที่แตบโปรดปรานเอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการปลูกต้นไม้ค่ะ เรียกได้ว่าเป็นคนรักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจเลยทีเดียวเชียว ไม่เคยเกี่ยงว่าเจ้าต้นนั้นชื่ออะไร ราคาแพงหรือไม่..รักเท่าๆกัน

ช่วงที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองนั้น แตบเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ย่านพระโขนงและเริ่มขนขวายหาไม้กระถางมาปลูกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่จะเน้นประเภทไม้ใบเท่านั้น เนื่องจากไม้ประเภทนี้เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไร ดังนั้นริมระเบียงหลังห้องของแตบจึงเหมาะแก่การตั้งวางไม้กระถางเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้แตบต้องหอบหิ้วต้นไม้กลับมาทุกครั้งหลังกลับจากการเตร็ดเตร่ช่วงวันหยุด จนหลังบ้านรกครึ้มกลายเป็นป่าดงดิบขนาดย่อมนั่นแหละ ถึงได้เลิกหามาเพิ่ม
  กระทั่งแตบตัดสินใจซื้อบ้าน(ทาวน์เอ้าส์)ย่านชานเมือง แตบก็ไม่ลืมที่จะหอบหิ้วต้นไม้เหล่านั้นมาด้วย จำได้ว่าย้ายบ้านตอนนั้น ทุลักทุเลมากมาย ทั้งข้าวของ ทั้งต้นไม้ มันแออัดยัดเยียดแน่นรถไปหมด สุดท้ายเหลือต้นไม้อยุ่ 3 กระถางที่หาที่ยัดอีกไม่ได้ แตบเลยต้องตัดใจยกให้เพื่อนไปคนละกระถาง ทั้งๆที่กังวลว่าเขาจะดูแลมันได้ไม่ดีเท่าเรา ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ แตบมีเนื้อที่ให้ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นพอสมควร ที่หน้าบ้าน,หลังบ้าน และริมระเบียงห้องนอน ด้วยความที่บริเวณต่างๆที่กล่าวมามีแสงแดดส่องได้ทั่วถึง แตบจึงเริ่มต้นปลูกไม้ดอกบ้าง มีหลายคนเตยบอกว่า ไม้ดอกจะงอกงามเฉพาะตอนที่มันอยู่กับคนขายเท่านั้น นี่ถ้าแตบเชื่อโดยไม่ลองลงมือปลุกเอง ป่านนี้แตบก็คงไม่มีสีสันของไม้ดอกให้ชื่นชมอยู่รายรอบบริเวณบ้านแน่นอน
  กุหลาบริมระเบียงที่แตบนำมาโพสให้ชมนี้ แตบปลูกมา 4 ปีแล้วค่ะ วันแรกที่ซื้อมาดอกไม่ดกขนาดนี้ด้วยซ้ำ จำได้ว่าตั้งแต่ซื้อมาแตบเคยใส่ปุ๋ยแค่ 3 ครั้งเองค่ะ ส่วนมัมอีกสองกระถางที่เห็น สามีเพิ่งซื้อมาให้ช่วงก่อนปีใหม่ ช่วงนี้นดอกดกเต็มต้นเลย เพิ่งโรยไปเมื่อไม่นานนี้เอง แต่แตบมั่นใจว่ามันจะออกดอกให้ชมอีกครั้งแน่นอน ถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าเริ่มมีตัวเพลี้ยสีขาวๆมาเกาะตามใบแล้ว(คงปลิวมาจากต้นตะขบข้างบ้าน) แต่แตบไม่ฆ่ามันหรอกค่ะ เพราะมันก็ต้องกินเหมือนๆกับเรา
  ต้นไม้น้อยใหญ่ต่างก็ให้ประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตแตกต่างกันไป ในฐานะที่แตบเป็นมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่ปลูกต้นไม้ แตบได้ประโยชน์จากมันหลายอย่าง ทั้งอ๊อกซิเจนที่จำเป็นกับชีวิต ทั้งความสนุกเพลิดเพลินที่ได้เห็นความเจริญงอกงามของมัน และที่สำคัญต้นไม้มีส่วนกล่อมเกลาจิตใจของสาวเลือดร้อนอย่างแตบให้รู้จักความอ่อนโยนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวเชียวค่ะ

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โปรเจ็คบุญ


เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แตบเปิดคลิปวิดีโอ "คุณครูบุปผา" ให้สามีดูหลังจากเลิกงานกลับเข้าบ้านมา สามีดูไปน้ำตาซึมไปด้วยความเห็นใจและซาบซึ้งในบทบาทชีวิตของครูสูงวัยผู้ อารีย์ ดูจบก็ขอนำลิงค์เรื่องราวของท่านไปเผยแพร่ให้เพื่อนสมาชิกในเวบบอร์ดของคุณเธอได้รับรู้ เพื่อระดมความช่วยเหลือในโอกาสต่อไป
 คุณครูบุปผา หมุนสา แม่พระของเด็กยากจนโรงเรียนวิชาวดี

หลังจากนั้น แตบมีโอกาสคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่แตบนับถือคนหนึ่งในตอนดึกที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วถึงเรื่อง "คุณครูบุปผา" โชคดีที่เธอก็รับทราบเรื่องราวของท่านมาบ้างแล้ว เราจึงคุยกันเข้าใจง่ายขึ้น รุ่นพี่คนดังกล่าวชักชวนหาวันเดินทางไปเยี่ยมคุณครูที่ จ.นครสวรรค์ด้วยกัน พร้อมเสนอตัวว่าจะขอเรี่ยไรเงินจากเพื่อนๆในบริษัทมาสมทบทุนด้วยอีกแรง ได้ยินแค่นี้แตบก็ยินดีและตื้นตันใจแทนครูบุปผาแล้วค่ะ นึกไม่ถึงว่าแตบจะได้รับความร่วมมือด้วยดีถึงเพียงนี้ ปกติแล้วแตบไม่ถนัดในการโน้มน้าว หรือขอความร่วมมือจากใครๆนัก นี่หรือเปล่านะที่คนเขาพูดกันว่า ..
"อันความกรุณา จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองดั่งสายฝนอันชื่นใจ ........."
เรานัดแนะกันคร่าวๆว่าจะเดินทางประมาณสิ้นเดือน ก.พ.นี้ นอกจากจะตั้งใจไปแวะเยี่ยมเพื่อนำเงินและข้าวของจำเป็นบางอย่างไปมอบแก่คุณครูแล้ว เรายังจะหาทำเลนั่งทานอาหารกันแถวริมฝั่งแม่น้ำเพื่อชมบรรยากาศของ ต.ปากน้ำโพด้วย พูดแล้วตื่นเต้นมากมายที่จะได้ไปทำบุญและท่องเที่ยวด้วยในตัว(เข้าทางวิถีชีวิตของแตบเลยแหละ อิอิ)
แตบขอถือโอกาสนี้บอกบุญคุณผูอ่านทุกคนเลยก็แล้วกันนะคะ ว่าทริปการเดินทาง "โปรเจ็คบุญ" ครั้งนี้ของแตบกับเพื่อนรุ่นพี่นั้น ยินดีเปิดรับความช่วยเหลือในทุกรูปแบบ ไม่จำกัดปริมาณและราคา ถ้าเป็นไปได้แตบอยากให้เดินทางร่วมไปกับเราด้วย นอกจากจะได้สร้างสรรค์ทำความดีให้สังคมแล้ว เรายังได้กระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย


หรือใครมีข้อแนะนำเสนอแนะอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการช่วยเหลือครูบุปผาและโรงเรียนวิชาวดี แตบกับกลุ่มเพื่อนก็ยินดีรับมาพิจารณาค่ะ
ติดต่อแตบตามอีเมลนี้นะคะ tephoe@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ครูห่อหมก..เธอเป็นยิ่งกว่า"ครู"


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แตบดูทีวีช่องหนึ่ง ช่วง "บันทึกคนดี"ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของผู้หญิงผิวคล้ำ รูปร่างท้วม วัย 60 ปีท่านหนึ่ง ที่มีอาชีพเป็นครูใน จ.นครสวรรค์ ท่านชื่อ "ครูบุปผา หมุนสา"หรือที่ชาวบ้านย่านนั้นรู้จักท่านดีในนาม "ครูห่อหมก" ด้วยความสนใจในเรื่องราวชีวิตของครูท่านนี้ แตบจึงค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมจากอินเตอร์เนต เลยทำให้ได้รับรู้เรื่องราวของครูเพิ่มขึ้น
 คุณครูบุปผา หรือ "บุปผชาติ หมุนสา" เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนวิชาวดี ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนใน ต.ปากน้ำโพ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าโรงเรียนเอกชนแห่งนี้จะเลิศหรูและเป็นแหล่งเรียนรู้ของลูกคนมีอันจะกินนะคะ ตรงกันข้าม โรงเรียนดังกล่าวกลับเป็นสถานที่เล่าเรียนของเด็กกำพร้า,เด็กข้างถนน และเด็กยากจนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นทุกอย่างในโรงเรียนแห่งนี้จึง มีแต่คำว่า"ฟรี" ครูบุปผาเริ่มต้นอาชีพครูในตำแหน่งครูช่วยสอนเมื่อ 42 ปีที่แล้ว ด้วยเงินเดือน 150 บาท(หนึ่งร้อยห้าสิบบาท) กระทั่งในปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่ครูได้เริ่มต้นทำห่อหมกขายเพื่อหาทุนซื้ออาหารกลางวันมาเลี้ยงเด็กยากจนในโรงเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่า
 "เริ่มทำห่อหมกขายตั้งแต่ปี 2543 จุดประกายเกิดจากช่วงพักเที่ยงวันหนึ่ง มีเด็กมาฟ้องว่าข้าวหายไปจานหนึ่ง แต่ไม่มีใครยอมรับ ก่อนจะจับได้ว่ามีเด็กหญิงปัญญาอ่อนคนหนึ่งขโมยไป แต่พอถามเหตุผลก็ถึงกับอึ้ง เด็กบอกเอาไปให้แม่กินที่บ้าน ที่บ้านไม่มีข้าวเหลือเลย จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราบอกกับตัวเองว่า ถึงโรงเรียนจะขาดแคลนงบประมาณสักเพียงไหน ก็ต้องเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ให้ได้ จึงเริ่มทำห่อหมกวันละ 150 กระทง กระทงละ 10 บาท วันธรรมดาเดินเร่ขายตามสถานีรถไฟ และวันเสาร์อาทิตย์ไปขายในตลาด ทำให้พอมีรายได้เลี้ยงเด็กๆ ให้อิ่มท้อง"
ครูเผยว่าในช่วงแรกๆ ยอมรับว่ามีความคิดมุ่งมั่นพัฒนาความรู้ด้านวิชาการเพื่อให้ทัดเทียมมาตรฐานโรงเรียนเอกชนอื่นๆ แต่เมื่อสัมผัสปัญหาเด็กๆ อย่างลึกซึ้ง ก็ทำให้พบว่า วิชาที่ต้องบ่มเพาะพวกเขาควรจะเป็นวิชาชีวิต จึงเบนเข็มมาสอนกิจกรรมเสริมนอกเวลาเรียน เช่น ทำห่อหมก ทอดมัน ทำน้ำเต้าหู้ น้ำยาล้างจานปลอดสารเคมี ปลูกผัก เลี้ยงปลา ตลอดจนโครงการจริยธรรมที่จะสอนให้เป็นคนดีในสังคม เพื่อเติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กอย่างสุดกำลัง เพื่อที่ว่าจะได้นำวิชาชีพไปใช้หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในอนาคตได้ นักเรียนโรงเรียนวิชาวดีมีจำนวน 83 คน มีเด็กที่อยู่ระดับ ป.1-6 จำนวน 60 คน และเด็กอีก 23 คน พ่อแม่เอามาฝากให้ครูใหญ่ดูแล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงทำให้เธอทำห่อหมกเพื่อนำรายได้มาสมทบค่าอาหารกลางวันให้เด็กๆ เนื่องจากเงินสนับสนุนจากภาครัฐเดือนละ 2 หมื่นบาทนั้น ครูต้องแบ่งเป็นค่าอาหารกลาวัน ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าตอบแทนครูน้อยอีก 8 คน แต่หากเป็นกรณีโอกาสพิเศษ เช่น วันเด็ก เธอจะไปขอรับบริจาคสิ่งของตามร้านค้าในตลาดมาห่อของขวัญให้เด็กจับฉลากกันทุกการกระทำของครูบุปผาชาติประจักษ์ชัดว่า เป็นความปรารถนาดีที่มนุษย์คนหนึ่งมีต่อมนุษย์อีกเกือบร้อยคน และยังสอนเด็กเรียนรู้ถึงคำว่าให้ โดยไม่หวังผลตอบแทนอีกด้วย ดอกไม้แห่งโรงเรียนวิชาวดียังคงขจรกลิ่นวิชาชีวิตไม่รู้จักหยุดหย่อน สมควรแล้วแก่การยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของคนที่เกิดมาเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง แม้ว่าปัจจุบันครูจะอายุ 60 ปีซึ่งเป็นวัยเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ครูยังยืนยันที่จะทำหน้าที่สร้างคนดีต่อไปจนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง
 แตบได้เห็นรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปิติของครูห่อหมกผู้อารีย์ หลังจากที่ทีมงานรายการเจาะใจเดินทางไปถ่ายทำและเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆแล้ว มันเป็นภาพที่น่าประทับใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ความรักความผูกพันธ์ที่ครูมีต่อศิษย์นั้นช่างเป็นสิ่งสวยงามเกินบรรยาย แตบเองถึงแม้จะเติบโตในรั้วโรงเรียนที่ชนบท แต่แตบก็ไม่เคยเห็นครูคนไหน ที่ทำเพื่อศิษย์ได้มากมายเท่าครูบุปผาเลยสักคน นี่แหละค่ะ เรื่องราวและบทบาทของ "ครูห่อหมก" ครู ผู้เป็นยิ่งกว่า"ครู"
 คุณผู้อ่านติดตามชมเทปรายการที่นำเสนอเรื่องราวของเธอได้ตามลิงค์นี้นะคะ http://www.manytv.com/videos/6855-_15_1_2009_.php
ปล.แตบอยากมีส่วนสนับสนุนครูบุปผาและทำประโยชน์ให้สังคมจังเลยค่ะ คุณผู้อ่านท่านไหนสนใจลองมาแชร์ไอเดียกับแตบดีมั๊ยคะ?

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

..และแล้วเดือนแรกของปีก็ผ่านไป


แหมๆ! กาลเวลานี่ช่างผ่านพ้นไปรวดเร็วจริงๆนะคะ เผลอแว๊บเดียว เดือนแรกของปี 2552 ก็ผ่านพ้นไปเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้ หลายคนคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยเทศกาลปีใหม่ไปตามๆกัน แตบเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วยค่ะ ถึงแม้หลังๆมานี้ แตบจะไม่ได้ออกไปเที่ยวหรือเฉลิมฉลองเทสกาลปีใหม่เหมือนใครๆ แต่ก็รู้สึกดีและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
เดือนแรกของปี 2552 สำหรับคุณผู้อ่านเป็นอย่างไรบ้างคะ? สำหรับแตบแล้ว เดือน มกราคม เป็นเดือนแห่งการจ่ายๆๆ และจ่าย จริงๆ ..เปล่านะคะ ไม่ใช่ช้อปปิ้งหรอก แต่จ่ายที่ว่าก็ได้แก่ ค่าหมอ+ค่ายา+ค่าอุปกรณ์ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่บ้านต่างหาก เดี๋ยวตัวโน้นก็เจ็บ เดี๋ยวตัวนี้ก็ป่วย รวมแล้วก็หลายตังค์เลย เพราะที่บ้านแตบมีสุนัขและแมวอยู่มากมายหลายตัว นี่ขนาดว่าเงินที่จ่ายไปทุกบาททุกสตางค์ไม่ใช่ของแตบ(แต่เป็นเงินของสามี) แตบยังอดเครียดไม่ได้เลย มีบางครั้งที่แตบเห็นสามีแอบเครียดอยู่คนเดียว แตบเลยต้องทำตัวให้น่าเบื่อน้อยลง(ไม่ดุด่าว่ากล่าว..ถ้าไม่จำเป็น อิอิ) แต่พูดไปก็ยังถือว่าโชดดีมากมายที่ค่าใช้จ่ายในเดือนแรกที่ว่านี้ไม่ถึงกับทำให้ติดลบ ไม่งั้นมีหวังแตบต้องตัดใจทุบกระปุกออมสินที่แตบตั้งใจเก็บออมแน่นอน
มีเพื่อนๆเคยถามแตบว่า ทำไมต้องสร้างภาระให้ตัวเองด้วยการเลี้ยงสัตว์?!(ถามราวกับว่าแตบไปขอเงินพวกคุณเธอมาเลี้ยงอย่างนั้นแหละ) แตบบอกตรงๆว่าเกลียดคำถามนี้มากๆๆๆๆๆ เพราะถึงจะอธิบายด้วยคำพูดที่หรูหราสวยงามแค่ไหน แต่ถ้าผู้ถามไม่มีพื้นฐานความรักสัตว์อยู่แล้วล่ะก็ รับรองไม่มีทางเข้าใจในคำตอบของแตบแน่นอน เอาเป็นว่า ไหนๆแตบก็เลี้ยงพวกมันมาแล้ว ก็ขอรับผิดชอบชีวิตของพวกมันต่อไปจนวันสุดท้ายก็แล้วกัน
เดือนแรกของปีผ่านไปแล้ว เดือนที่สองกำลังเริ่มต้น ยังมีเรื่องราวและเหตุการณ์ดี-ร้ายรอเราอยู่อีกมากมาย โดยที่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เราจะเจอเรื่องไหนมากน้อยกว่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวช่วยที่ดีให้เราได้นั่นคือ "ความไม่ประมาทในการใช้จ่าย" ลองลงมือทำดูนะคะ ลดการเที่ยวเตร่ลงสักเดือนละครั้ง เราจะมีเงินเหลืออย่างน้อยๆก็ 500-1,000 บาทเลยทีเดียว ถ้าเราเก็บไปเรื่อยๆ สักวันเงินจำนวนนี้จะช่วยชีวิตเราได้แน่นอนค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

ปลาจาระเม็ดพันปี

ปกติแล้วเรื่องการซื้อหาอาหารการกินเข้าบ้านจะเป็นหน้าที่หลักของสามีแตบค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าอยากซื้ออะไรก็ซื้อได้ตามใจพ่อคุณเองนะคะ..ไม่ได้เด็ดขาด จะต้องโทรมาเสนอเพื่อให้ได้รับการอนุมัติจากภรรยาแสนสวยอย่างแตบเสียก่อน เนื่องจากว่าแตบเป็นคนที่เรื่องมากในการกินจนน่าเวียนหัวเลยนั่นเอง(คาดว่าสามีแตบคงอยากผสมยาพิษให้แตบกินจนนับครั้งไม่ถ้วนเลยแหละ อิอิ)แต่มีอยู่สองวันค่ะที่แตบจะต้องทำหน้าที่หากับข้าวตอนเย็น นั่นคือทุกวันอาทิตย์และจันทร์ เพราะว่าสองวันดังกล่าวนี้สามีเลิกงานค่ำ กว่าจะถ่อมาถึงชุมชนชานเมืองที่เป็นแหล่งพำนักของเราได้ ร้านรวงแถวบ้านก็ล้างกะทะล้างหม้อเสร็จพอดี

 วันที่เขียนบล็อกนี่ก็เป็นวันอาทิตย์ค่ะ ดังนั้นหน้าที่การหากับข้าวมื้อเย็นจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของแตบตามที่ทำสนธิสัญญากันเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แตบจำได้ว่าทุกเย็นวันอาทิตย์จะมีตลาดนัดที่ริมถนนข้างสวนสาธารณะของชุมชน และที่ตลาดนัดดังกล่าว มีไก่อบโอ่งที่อร่อยมากมาย ม๊าก มาก อยู่ร้านหนึ่ง แตบจึงรีบห้อจักรยานคู่ชีพจนหัวลู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านไก่อบโอ่งที่ตลาดนัดดังกล่าว พอไปถึงก็ต้องหงุดหงิดเนื่องจากมีลูกค้ามากมายยืนทำหน้าสลอนเพื่อรอซื้ออยู่ แตบเองก็หวั่นๆกลัวจะชวดไม่น้อย เนื่องจากลูกค้าเยอะอย่างที่บอก แต่ก็โชคดีที่แตบได้ครอบครองเป็นเจ้าของไก่อบกล่องสุดท้ายกล่องนั้นพอดิบพอดี พอได้ไก่แล้วแตบก็รีบห้อปั่นจักรยานกลับบ้านทันที โดยไม่ลืมซื้อข้าวเหนียว-ส้มตำและขนมนมเนยติดมาด้วย ตั้งใจไว้ว่าพอกลับถึงบ้านและให้ข้าวหมา,แมวเสร็จ แตบจะต้องแอบนั่งรับประทานให้เอร็ดอร่อยก่อนคุณสามีกลับเสียหน่อย
.....แต่... ขณะที่แตบขึ้นไปให้ข้าวเจ้าเหมียวๆๆๆที่ห้องชั้นบนนั้น แตบก็ลืมนึกถึงถุงกับข้าวที่วางไว้อย่างหลวมๆบนหลังเคาน์เตอร์อ่างไปเสียสนิท ด้วยความที่ลืมเสียสนิทนี้เองที่ทำให้แตบมัวหยอกเย้าตอแร๋กับเจ้าเหมียวน้อยขี้เล่นที่แสนน่ารักน่าชังอยู่นานนนนนน กว่าจะนึกได้ว่าลืมอะไรก็สายไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่แตบเผ่นลงกระไดมา ก็เห็นบรรดาเจ้าโฮ่งๆๆๆของแตบนอนหลับตาพริ้มเลียปากแผล่บๆอย่างอิ่มหนำสำราญไปตามๆกัน กรี๊ดดดดดดดดดด! เฮ้อ..จะโทษใครได้คะงานเนี้ย เพราะแตบผิดเองนี่นา แต่วันนี้ก็ไม่เลวร้ายเกินไปนักหรอกค่ะ เพราะอย่างน้อย เจ้าหมาๆของแตบยังมีน้ำใจทิ้งข้าวเหนียว-ส้มตำไว้ให้โดยไม่แตะต้องใดๆ แค่ติดที่ว่า จะหาเมนูอะไรมาเพิ่มเท่านั้นเอง นี่ก็ใกล้เวลาที่คุณสามีจะกลับเต็มทีแล้ว ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องอาหารเย็นได้นั่นคือ "ควานเข้าไปในตู้เย็น"

 และแล้วแตบก็พบ "ปลาจาระเม็ด"ในช่องแช่แข็งอยู่ถุงหนึ่ง จำได้ว่าคุณยายข้างบ้านซื้อจากระยองมาฝากเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้ว โชคดีมากมายที่หลังละลายน้ำแข็งออกแล้วเนื้อปลาทั้งหมดยังสดใหม่อยู่ แถมทอดออกมาแล้วเนื้อแน่นและอร่อยเกินคาดมากมาย..นี่แหละค่ะ ที่มาของ "ปลาจาระเม็ดพันปี" อิอิ

ปล.ขอบคุณภาพประกอบจาก mali.diaryis.com/?20080308.200804

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๒ (ย้อนหลัง)

ว้าวๆ..สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๒ (ย้อนหลัง)นะคะเพื่อนๆน้องๆทีติดตามผลงานของแตบทุกคน
 แตบหายไปนานร่วมเดือน เนื่องจากมัวยุ่งๆอยู่กับการตกแต่งสวนหลังบ้านค่ะ พอแต่งเสร็จก็เสียเวลานั่งชื่นชมผลงานของตัวเองอีกหลายวัน ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้สวยงามอะไรมากมายเลย แต่อย่างว่าแหละค่ะ ถ้าเราทำอะไรสำเร็จด้วยฝีมือของตัวเอง เราก็จะรู้สึกภูมิอกภูมิใจจนตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียวอิอิ

หลังชื่นชมผลงานของตัวเองจนอิ่มใจแล้ว ก็มีภาระต้องทำต่ออีกอย่างหนึ่งคือ จัดทำของรางวัลเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับเพื่อนสมาชิกในบอร์ดนางงามที่ร่วมทายผล นางงามโลก(Miss World 2008) สำหรับของที่แตบจะมอบให้ก็คือ V.C.D.รวมเพลงแด๊นซ์ และ คลิปสไลด์โชว์รวมรูปสมาชิกของเวบนางงามที่แตบเป็นสมาชิกอยู่นั่นเองค่ะ ลำพังการทำ แผ่นรวมเพลงแด๊นซ์นั้นมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย แต่ว่า การดาวน์โหลดคลิปสไลด์โชว์ลงแผ่นนี่สิคะ มันยุ่งยากมากมายสำหรับคนล้าหลังด้านเทคโนโลยี่อย่างแตบเหลือเกิน(โง่) ในระหว่างที่กำลังศึกษาโปรแกรมการทำภาพสไล์โชว์ลงแผ่นอยู่นั้น เจ้า "ไวรัส" ตัวร้ายก็เล่นงานเครื่องคอมพิวเตอร์ของแตบจนเจ๊งบ๊งคาที่เสียก่อน เสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกหลายวัน..เฮ้อ! หลังจัดการลากคอเจ้าคลิปสไลด์โชว์ลงแผ่นจนสำเร็จแล้ว ก็เหลือขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือการทำปกค่ะ ทั้งปกนอกและปกใน ซึ่งกว่าจะสั่งพิมพ์ให้ได้ขนาดตามต้องการได้ ก็ลองผิดลองถูกอยู่นานทีเดียว..เชื่อหรือยังล่ะคะ ว่าแตบล้าหลังเทคโนโลยี่จริงๆ 555

ที่เล่ามาเยิ่นเย้อมากมายเพราะอยากให้ทุกคนเข้าใจความหมายของคำว่า "ความพยายาม" เท่านั้นเองค่ะ "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"

บทนี้ขอจบสั้นๆดีกว่านะคะ..โชคดีปีใหม่ค่ะทุกคน