![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlHCkjpOvKKR-WtO350zm5Bgk8Ye0D0_gLJb-3kEeJyLrtiq9RUQkWhN8TVz2xfZX0Q0ULaaajQsSFUIvnZ5pAfR4N4HsTYRtrptgcHMD4jfmpOfqWx-7MYukXkxqpKyITKGkrsmsWz0w/s320/P4B-02.jpg)
มีคนกล่าวไว้ว่า "ธรรมชาติของวัยรุ่นมักเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับจินตนาการและความใฝ่ฝันในอนาคต ในขณะที่คนแก่มักจะจ่อมจมอยู่กับการรำลึกความทรงจำในอดีต" แตบไม่รู้ว่าเพื่อนๆวัยเดียวกันกับแตบจะเป็นอย่างข้อความที่แตบกล่าวอ้างมาหรือเปล่า แต่แตบเป็นค่ะ แตบกล้ายอมรับว่าตัวเองชอบนึกถึงอดีตอันแสนหวานอยู่บ่อยๆ โดยไม่อายค่ะที่ใครจะล้อว่า "แก่ " ..เพราะทุกคนไม่มีทางหลีกเลี่ยงสัจจธรรมข้อนี้ไปไม่ได้อยู่แล้ว เหอๆ
วันที่เขียนบทความนี้ เป็นวันที่ฝนฟ้าคะนองหนักน่าดู อยู่ดีๆแตบก็นึกถึงความทรงจำอันแสนหวานในวัยเด็กของตัวเองขึ้นมาค่ะ แตบมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ พอนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างแล้วสมองส่วนที่บันทึกความทรงจำของแตบมันก็เริ่มทำงานทันที ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 หรือ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ภาพในอดีตมันก็ยังคงสภาพแจ่มชัดในความทรงจำของแตบเสมอมา
จำได้ว่า เมื่อครั้งที่แตบยังเป็นเด็กสาวแสนซนและใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั้น แตบเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำฝนมากๆค่ะ ทุกครั้งที่ฝนตก แตบจะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองได้สัมผัสความเย็นชื่นใจของน้ำฝนที่โปรยปรายลงมานั้นให้ได้(ทั้งที่แม่คอยดุนักหนา) เป็นต้นว่า แกล้งทำเนียนวิ่งไปเก็บกระจาดพริกแห้งที่แม่ลืมทิ้งไว้(ถ้าแม่อยู่ด้วย แตบจะแกล้งเสียเวลาเก็บทีละนานๆ) หรือไม่ก็แกล้งวิ่งไปเก็บผ้าจากราวนอกบ้าน แบบว่า เก็บทีละชิ้น ทีละผืนอะไรเงี้ยค่ะ ถ้ามีผ้า 10 ผืนก็จะวิ่งเก็บอย่างน้อย 5 รอบขึ้นไป เท่านั้นไม่สาแก่ใจสำหรับแตบหรอกค่ะ หลังจากเก็บข้าวของทุกอย่างจนครบถ้วนแล้ว แตบก็จะแกล้งวิ่งไปสอดส่องหาโน่นหานี่รอบๆบริเวณบ้าน ประมาณว่า มีอะไรที่ลืมเก็บอีกหรือเปล่า เพื่อให้ตัวเองได้ตากฝนจนเปียกปอนจนกว่าจะพอใจเท่านั้นเอง อิอิ แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกและมีลมกระโชกรุนแรงในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แตบก็มักจะแอบกลับมาเปลี่ยนชุดเงียบๆที่บ้าน ก่อนหนีแม่ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆในวัยเดียวกันที่นอกบ้าน ในมือของเด็กซนแต่ละคนมีสัมภาระสำหรับใส่ของคนละไม่ต่ำกว่า 1 ชิ้น อันได้แก่ ตระกร้าไม้ไผ่,ถังพลาสติก และถุงผ้า(ย่าม) จุดหมายปลายทางของพวกเราก็คือใต้ต้นมะม่วงริมรั้วของชาวบ้าน แต่สถานที่ฮอตฮิตเป็นที่นิยมสุดๆของเด็กๆทุกกลุ่มก็คือ ต้นมะม่วงยักษ์(ต้นใหญ่มากๆ)ที่สวนหลังบ้านของ"พี่แดงดอกไม้" นั่นเอง บริเวณดังกล่าวมีต้นมะม่วงใหญ่ยักษ์ที่ออกลูกดกเป็นสิบๆต้นเชียวค่ะ ถ้าเด็กกลุ่มไหนไปถึงก่อนก็จะกวาดเก็บมะม่วงได้มากว่านั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นคือ..มันเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆน้อยๆของเด็กๆน่ะค่ะ "พี่แดงดอกไม้"เธอเป็นหญิงสาววัย 20 ต้นๆ ที่มีหน้าตาผิวพรรณดีกว่าชาวบ้านทั่วๆไป และดีกว่าบรรดาพี่สาวแท้ๆของแตบด้วย( พี่สาวของแตบรับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพวกเธอมักเข้าใจผิดว่าตัวเองเริ่ดดดสุดในตำบล) เรื่องชื่อของเธอนั้นเป็นอย่างนี้ค่ะ.."แดง" เป็นชื่อเล่น "ดอกไม้"เป็นชื่อจริง แต่ทุกคนในหมู่บ้านรวมหัวกันเรียก "แดงดอกไม้" เนื่องจากคนที่ชื่อ "แดง" มีไม่ต่ำกว่า 10 คนนั่นเอง ใต้ร่มเงาแห่งต้นมะม่วงยักษ์ที่รายรอบนั้น มีคอกควายค่ะ ครอบครัวพี่แดงมีควายในครอบครองประมาณ 3-4 ตัว(จำไม่ได้ว่ากี่ตัวกันแน่ แต่อยู่ระหว่างนี้นี่แหละ) หนึ่งในจำนวนนั้น มีควายเผือกอยู่ 1 ตัว ซึ่งแตบมักเรียกว่า"ควายสีชมพู" เนื่องจากผิวของเธอเป็นสีขาว อมชมพู..สวยงามน่ารักเชียว และทุกครั้งที่แตบไปเก็บมะม่วงหล่นนั้น แตบจะพบเธอบ่อยๆ เธอจะส่งยิ้มหวานทักทายทุกครั้ง แต่แตบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพราะต้องแข่งเก็บมะม่วงกับเพื่อนๆต่อไป ความจริงแล้ว บ้านทุกหลังในหมู่บ้านของแตบจะปลูกผลไม้อย่างมะม่วง และ มะขามไว้ทุกหลังคาเรือนค่ะ แม้แต่บ้านของแตบและเพื่อนๆก็มีมะม่วงและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมายหลายต้น และด้วยความที่ทุกบ้านมีต้นมะม่วงนี่แหละค่ะ ที่ทำให้ไม่มีใครหวง โดยเฉพาะมะม่วงที่หล่นเองโดยแรงลมด้วยแล้ว บางครั้ง"พี่แดงดอกไม้" สาวสวยจิตใจงามยังมาช่วยพวกแตบเก็บเลยค่ะ เธอบอกว่า "เก็บไปให้หมดนะ เพราะบ้านพี่กินไม่ทัน ทิ้งเอาไว้ก็เน่าเสียเปล่าๆ" คนบ้านนอกสมัยนั้นจิตใจดีมากๆค่ะ ความสวยและมีน้ำใจของ "พี่แดงดอกไม้" ยังตราตรึงในความทรงจำเสมอมา และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป แตบเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆไปตามกาล พ่อ-แม่ ของแตบได้ส่งเสียให้แตบไปเรียนต่อในตัวจังหวัด หลังเรียนจบแตบก็ได้งานทำทันที แต่เป็นงานในกรุงเทพฯค่ะ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้แตบต้องห่างบ้านเกิดออกไปอีกโดยไม่ตั้งใจ แตบใช้ชีวิตวนว่ายอยู่ในสังคมอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายของกรุงเทพฯนานเกือบ 20 ปีมาแล้ว นานๆจะมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง(คิดถึงบ้านทุกลมหายใจ แต่ขี้เกียจเดินทาง) ครั้งล่าสุด แตบกลับไปเยี่ยมพ่อ-แม่ที่แผ่นดินเกิด สังเกตเห็นว่าหมู่บ้านของแตบเจริญขึ้นมากด้วยสิ่งปลูกสร้างรูปทรงทันสมัย บ้านที่มีหลังคาไม้และต่อนอกชานไว้เป็นที่รับลมแบบโบราณนั้นหายไปหมดแล้ว ด้วยความโหยหาอดีตอันแสนหวานในวัยเยาว์ แตบจึงเดินเท้ารอบหมู่บ้านเพื่อเยี่ยมเยียนและทักทายคนรู้จัก แล้วแตบก็มีโอกาสพบหน้า"พี่แดงดอกไม้" อีกครั้งหนึ่ง เธอดูสูงวัยขึ้นมาก แต่ก็ยังมีเค้าความสวยให้เห็นจางๆ เรามีโอกาสพูดจาปราศัยกันนานทีเดียว ก่อนจากลากัน แตบทอดสายตาออกไปยังสวนมะม่วงยักษ์หลังบ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ต้น ต้นที่เหลืออยู่มันดูแก่และทรุดโทรมลงไปถนัดตา ส่วนบริเวณที่เคยเป็นคอกควายนั้นก็หายไปแล้ว รวมทั้ง"ควายสีชมพู" ตัวนั้น จะเหลือก็แต่ลานดินโล่งๆ สิ่งที่เคยเป็นรั้วไม้แข็งแรงก็กลายสภาพเป็นแค่ท่อนไม้ผุพังที่นับวันจะจมหายไปจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับดิน แตบรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มันเศร้าใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ..มันบอกไม่ถูกจริงๆ
และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าที่ตั้งแต่แตบกลับมาเหยียบย่างบนแผ่นดินเกิดหนนี้ แตบยังไม่เห็นควายเลยสักตัว อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ในหมู่บ้านตามชนบทแต่ละแห่ง จะมีควายเหลืออยู่สักกี่ตัวกัน? วิถีของสังคมเกษตรกรรมในที่ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไป แรงงานจากควายกลายเป็นสิ่งล้าสมัยและขาดความจำเป็นไปแล้ว ประโยชน์ของควายแต่ละตัวที่เหลืออยู่ มีเพียงการเป็น "อาหาร" เลี้ยงท้องของชาวบ้านเท่านั้นเอง จะมีสักกี่คนที่เลี้ยงควายเพราะความรักความผูกพันธ์ ที่อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งในอดีต มันเคยช่วยเราไถนา เพื่อปลูกข้าวให้เรากินบ้าง???
หากใครเคยเห็นแววตาของวัว-ควาย ใน "ตลาดนัดโค-กระบือ" หรือ ใน "โรงฆ่าสัตว์"มาบ้าง แตบถามหน่อยสิคะ..คุณรู้สึกอะไรบ้างมั๊ย?
วันที่เขียนบทความนี้ เป็นวันที่ฝนฟ้าคะนองหนักน่าดู อยู่ดีๆแตบก็นึกถึงความทรงจำอันแสนหวานในวัยเด็กของตัวเองขึ้นมาค่ะ แตบมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ พอนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างแล้วสมองส่วนที่บันทึกความทรงจำของแตบมันก็เริ่มทำงานทันที ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 หรือ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ภาพในอดีตมันก็ยังคงสภาพแจ่มชัดในความทรงจำของแตบเสมอมา
จำได้ว่า เมื่อครั้งที่แตบยังเป็นเด็กสาวแสนซนและใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั้น แตบเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำฝนมากๆค่ะ ทุกครั้งที่ฝนตก แตบจะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองได้สัมผัสความเย็นชื่นใจของน้ำฝนที่โปรยปรายลงมานั้นให้ได้(ทั้งที่แม่คอยดุนักหนา) เป็นต้นว่า แกล้งทำเนียนวิ่งไปเก็บกระจาดพริกแห้งที่แม่ลืมทิ้งไว้(ถ้าแม่อยู่ด้วย แตบจะแกล้งเสียเวลาเก็บทีละนานๆ) หรือไม่ก็แกล้งวิ่งไปเก็บผ้าจากราวนอกบ้าน แบบว่า เก็บทีละชิ้น ทีละผืนอะไรเงี้ยค่ะ ถ้ามีผ้า 10 ผืนก็จะวิ่งเก็บอย่างน้อย 5 รอบขึ้นไป เท่านั้นไม่สาแก่ใจสำหรับแตบหรอกค่ะ หลังจากเก็บข้าวของทุกอย่างจนครบถ้วนแล้ว แตบก็จะแกล้งวิ่งไปสอดส่องหาโน่นหานี่รอบๆบริเวณบ้าน ประมาณว่า มีอะไรที่ลืมเก็บอีกหรือเปล่า เพื่อให้ตัวเองได้ตากฝนจนเปียกปอนจนกว่าจะพอใจเท่านั้นเอง อิอิ แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกและมีลมกระโชกรุนแรงในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แตบก็มักจะแอบกลับมาเปลี่ยนชุดเงียบๆที่บ้าน ก่อนหนีแม่ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆในวัยเดียวกันที่นอกบ้าน ในมือของเด็กซนแต่ละคนมีสัมภาระสำหรับใส่ของคนละไม่ต่ำกว่า 1 ชิ้น อันได้แก่ ตระกร้าไม้ไผ่,ถังพลาสติก และถุงผ้า(ย่าม) จุดหมายปลายทางของพวกเราก็คือใต้ต้นมะม่วงริมรั้วของชาวบ้าน แต่สถานที่ฮอตฮิตเป็นที่นิยมสุดๆของเด็กๆทุกกลุ่มก็คือ ต้นมะม่วงยักษ์(ต้นใหญ่มากๆ)ที่สวนหลังบ้านของ"พี่แดงดอกไม้" นั่นเอง บริเวณดังกล่าวมีต้นมะม่วงใหญ่ยักษ์ที่ออกลูกดกเป็นสิบๆต้นเชียวค่ะ ถ้าเด็กกลุ่มไหนไปถึงก่อนก็จะกวาดเก็บมะม่วงได้มากว่านั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นคือ..มันเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆน้อยๆของเด็กๆน่ะค่ะ "พี่แดงดอกไม้"เธอเป็นหญิงสาววัย 20 ต้นๆ ที่มีหน้าตาผิวพรรณดีกว่าชาวบ้านทั่วๆไป และดีกว่าบรรดาพี่สาวแท้ๆของแตบด้วย( พี่สาวของแตบรับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพวกเธอมักเข้าใจผิดว่าตัวเองเริ่ดดดสุดในตำบล) เรื่องชื่อของเธอนั้นเป็นอย่างนี้ค่ะ.."แดง" เป็นชื่อเล่น "ดอกไม้"เป็นชื่อจริง แต่ทุกคนในหมู่บ้านรวมหัวกันเรียก "แดงดอกไม้" เนื่องจากคนที่ชื่อ "แดง" มีไม่ต่ำกว่า 10 คนนั่นเอง ใต้ร่มเงาแห่งต้นมะม่วงยักษ์ที่รายรอบนั้น มีคอกควายค่ะ ครอบครัวพี่แดงมีควายในครอบครองประมาณ 3-4 ตัว(จำไม่ได้ว่ากี่ตัวกันแน่ แต่อยู่ระหว่างนี้นี่แหละ) หนึ่งในจำนวนนั้น มีควายเผือกอยู่ 1 ตัว ซึ่งแตบมักเรียกว่า"ควายสีชมพู" เนื่องจากผิวของเธอเป็นสีขาว อมชมพู..สวยงามน่ารักเชียว และทุกครั้งที่แตบไปเก็บมะม่วงหล่นนั้น แตบจะพบเธอบ่อยๆ เธอจะส่งยิ้มหวานทักทายทุกครั้ง แต่แตบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพราะต้องแข่งเก็บมะม่วงกับเพื่อนๆต่อไป ความจริงแล้ว บ้านทุกหลังในหมู่บ้านของแตบจะปลูกผลไม้อย่างมะม่วง และ มะขามไว้ทุกหลังคาเรือนค่ะ แม้แต่บ้านของแตบและเพื่อนๆก็มีมะม่วงและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมายหลายต้น และด้วยความที่ทุกบ้านมีต้นมะม่วงนี่แหละค่ะ ที่ทำให้ไม่มีใครหวง โดยเฉพาะมะม่วงที่หล่นเองโดยแรงลมด้วยแล้ว บางครั้ง"พี่แดงดอกไม้" สาวสวยจิตใจงามยังมาช่วยพวกแตบเก็บเลยค่ะ เธอบอกว่า "เก็บไปให้หมดนะ เพราะบ้านพี่กินไม่ทัน ทิ้งเอาไว้ก็เน่าเสียเปล่าๆ" คนบ้านนอกสมัยนั้นจิตใจดีมากๆค่ะ ความสวยและมีน้ำใจของ "พี่แดงดอกไม้" ยังตราตรึงในความทรงจำเสมอมา และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป แตบเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆไปตามกาล พ่อ-แม่ ของแตบได้ส่งเสียให้แตบไปเรียนต่อในตัวจังหวัด หลังเรียนจบแตบก็ได้งานทำทันที แต่เป็นงานในกรุงเทพฯค่ะ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้แตบต้องห่างบ้านเกิดออกไปอีกโดยไม่ตั้งใจ แตบใช้ชีวิตวนว่ายอยู่ในสังคมอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายของกรุงเทพฯนานเกือบ 20 ปีมาแล้ว นานๆจะมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง(คิดถึงบ้านทุกลมหายใจ แต่ขี้เกียจเดินทาง) ครั้งล่าสุด แตบกลับไปเยี่ยมพ่อ-แม่ที่แผ่นดินเกิด สังเกตเห็นว่าหมู่บ้านของแตบเจริญขึ้นมากด้วยสิ่งปลูกสร้างรูปทรงทันสมัย บ้านที่มีหลังคาไม้และต่อนอกชานไว้เป็นที่รับลมแบบโบราณนั้นหายไปหมดแล้ว ด้วยความโหยหาอดีตอันแสนหวานในวัยเยาว์ แตบจึงเดินเท้ารอบหมู่บ้านเพื่อเยี่ยมเยียนและทักทายคนรู้จัก แล้วแตบก็มีโอกาสพบหน้า"พี่แดงดอกไม้" อีกครั้งหนึ่ง เธอดูสูงวัยขึ้นมาก แต่ก็ยังมีเค้าความสวยให้เห็นจางๆ เรามีโอกาสพูดจาปราศัยกันนานทีเดียว ก่อนจากลากัน แตบทอดสายตาออกไปยังสวนมะม่วงยักษ์หลังบ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ต้น ต้นที่เหลืออยู่มันดูแก่และทรุดโทรมลงไปถนัดตา ส่วนบริเวณที่เคยเป็นคอกควายนั้นก็หายไปแล้ว รวมทั้ง"ควายสีชมพู" ตัวนั้น จะเหลือก็แต่ลานดินโล่งๆ สิ่งที่เคยเป็นรั้วไม้แข็งแรงก็กลายสภาพเป็นแค่ท่อนไม้ผุพังที่นับวันจะจมหายไปจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับดิน แตบรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มันเศร้าใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ..มันบอกไม่ถูกจริงๆ
และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าที่ตั้งแต่แตบกลับมาเหยียบย่างบนแผ่นดินเกิดหนนี้ แตบยังไม่เห็นควายเลยสักตัว อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ในหมู่บ้านตามชนบทแต่ละแห่ง จะมีควายเหลืออยู่สักกี่ตัวกัน? วิถีของสังคมเกษตรกรรมในที่ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไป แรงงานจากควายกลายเป็นสิ่งล้าสมัยและขาดความจำเป็นไปแล้ว ประโยชน์ของควายแต่ละตัวที่เหลืออยู่ มีเพียงการเป็น "อาหาร" เลี้ยงท้องของชาวบ้านเท่านั้นเอง จะมีสักกี่คนที่เลี้ยงควายเพราะความรักความผูกพันธ์ ที่อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งในอดีต มันเคยช่วยเราไถนา เพื่อปลูกข้าวให้เรากินบ้าง???
หากใครเคยเห็นแววตาของวัว-ควาย ใน "ตลาดนัดโค-กระบือ" หรือ ใน "โรงฆ่าสัตว์"มาบ้าง แตบถามหน่อยสิคะ..คุณรู้สึกอะไรบ้างมั๊ย?
2 ความคิดเห็น:
ดีครับ พี่แตบ
อ่านความทรงจำของพี่แตบแล้ว มันทำให้ ผมก็อดคิดถึงอดีตสมัย เด็กๆ ไม่ได้ เช่นกัน วิ่งตากฝน เก็บ มะม่วงหล่น มันคือกิจวัตรประจำของพวกเราอยุ่แล้ว เพราะฝนบ้านเราตากยังไงก็ไม่เจ็บไม่ใข้ แต่ แปลกพิลึก ฝน กทม โดนนิดเดียว ใข้กิน เลย
รู้สึกหดหู่เหมือน กัน ครับ เพราะที่ บ้าน ก็ไม่มีควาย ไม่มีวัว แล้ว สมัยเด็กๆ ผมก็ไปเลี้ยงความ กับกหลุ่มเพื่อนๆ แต่สมัย นี้ ไม่มีเลย สักตัว ทุ่งนาก็อ้างว้าง ไม่มีคน ทำนากันแล้ว ปลูกยาง พารา กันหมด ต่อไป คงไม่มีข้าวพอกินแล้ว ละพี่ แตบ
ออ ที่ ร้ายกว่า นั้น ตอนนี้เกือบทุกบ้านที่ มีลูกสาว ก็ อยากให้ ได้ สามีฝรั่งกันทั้ง นั้น เพราะ บ้านแต่ละหลัง สวยๆ ด้วยสามีฝรั่ง ตอนนี้เลยไม่มีใครอยากทำนา แล้ว ละ มันเศร้าใหม ละ
ใว้วันหลัง จะแวะเวียนมาอ่านอีกนะครับ
ว้าว!
ปลื้มใจมากๆค่ะที่มีคนแวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณน้อง Nachaphatk มากๆนะคะ ที่ช่วยแสดงความคิดเห็นให้พี่แตบ พี่แตบอ่านเรื่องของน้องแล้วเห็นถึงวิถีชีวิตในวัยเด็กที่คล้ายคลึงกันพอสมควร
ใช่แล้วค่ะ ในบางจังหวัดของประเทศไทยเรา พ่อ-แม่จะส่งเสริมให้ลูกสาวมีสามีฝรั่ง เพราะหวังจะมีอนาคตที่สุขสบายทางลัด..รู้สึกแย่มากๆเลยนะคะที่ได้เห็นคนมีค่านิยมแบบนี้
แสดงความคิดเห็น