วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เมื่อสิ่งที่เรียกว่าความเจริญเดินทางมาถึง

หลังจากที่หมกตัวอยู่แต่ในถ้ำมานานหลายเดือน แล้วในที่สุดวันนี้แตบก็มีโอกาสเดินทางออกนอกบ้านเข้าชุมชนเมืองเสียที(ไปซื้อของใช้ย่านบางกะปิ)
 ด้วยความที่ต้องย้ายภูมิลำเนามาอยู่ในหมู่บ้านย่านชานเมืองนี้เอง ที่ทำให้วิถีการดำรงชีวิตของแตบถูกปรับเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว จากคนที่หลงใหลความคึกคักของสังคมเมือง อันศิวิไลซ์ กลายมาเป็นคนรักความเงียบสงบและชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับการได้อยู่แต่ในบ้านกับต้นไม้และสัตว์เลี้ยงเสียอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้การออกนอกบ้านครั้งนี้เป็นไปแบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แต่ก็ต้องไป

สิ่งแรกที่ทำให้รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆของตัวเองนั่นคือน้ำหนักเท้าและจังหวะก้าวย่าง แตบรู้สึกมันไร้น้ำหนักยังไงไม่รู้ เหมือนกำลังขาดสมดุลย์อะไรบางอย่างไป คิดๆดูก็อดขำตัวเองไม่ได้นะคะเนี่ย ไม่นึกว่าระยะเวลาเพียง 4 ปีจะเปลี่ยนแปลงความเป็น "มาดามแตบ" ได้ถึงเพียงนี้ แต่ก็เอาเถอะ นานๆจะออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน แตบนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากในหมู่บ้านไปรอรถตู้ที่ปากทางอีกต่อหนึ่ง ช่วงนี้ในย่านชุมชนของแตบกำลังมีการก่อสร้างปรับเปลี่ยนยกระดับถนนใหญ่เพื่อหนีน้ำท่วมหลังจากที่ทางเขตปล่อยให้มันมีสภาพไม่ต่างจากคลองในทุกฤดูฝนติดต่อกันมานานหลายปีดีดัก บรรยากาศบริเวณดังกล่าวจึงเต็มไปด้วยหลุม-บ่อ และฝุ่นผงฟุ้งกระจาย เห็นแล้วอดนึกถึงถนนในย่านชนบทเมื่อ 20 ปีก่อนไม่ได้จริงๆ บริเวณที่เคยเป็นศาลารอรถประจำทาง ถูกรื้อถอนออกไป และแทนที่ด้วยเพิงสังกะสีสภาพขี้ริ้วขี้เหร่ ใต้หลังคาเพิงแห่งนั้นมีชายวัยกลางคนนั่งรอรถอยู่ก่อนแล้ว แกกำลังกินอะไรสักอย่างจากถุงก๊อบแก๊บ(ท่าทางเอร็ดอร่อย) กินเสร็จตาลุงก็เหวี่ยงถุงใบนั้นทิ้งลงพื้นด้านหลังเพิงไปอย่างไม่ใยดี ทำให้บริเวณโดนรอบที่มีขยะเกลื่อนกลาดอยู่ก่อนแล้วเพิ่มจำนวนขึ้นอีก 1 ชิ้น ปล่อยให้ถังขยะใบใหญ่ใกล้เพิงยืนมองด้วยความหิวโหย แตบเองก็ได้แต่มองดูอย่างอ่อนใจเท่านั้นเอง ทุกครึ่งชั่วโมง ถึงจะมีรถตู้โดยสารผ่านมาสักคัน ถ้าที่นั่งเต็มผู้โดยสารก็ต้องเสียเวลายืนรออีกไม่ต่ำกว่า 30 นาทีเลยทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ว่ารถเที่ยวต่อไปจะมีที่นั่งเหลืออยู่หรือเปล่า..ต้องวัดดวงกันแล้วล่ะ

สำหรับคนที่รีบร้อน แท็กซี่ และรถสองแถวจึงเป็นทางเลือกในลำดับถัดมา แต่แตบไม่ชอบนั่งรถสองแถว และเสียดายเงินค่าแท็กซี่ จึงสมัครใจที่จะยืนรอรถตู้ด้วยความใจเย็นต่อไป ขณะที่รอรถแตบก็คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามประสา ไม่ช้าไม่นานรถโดยสารที่แตบรอก็โฉบเข้ามาจอดรับแตบกับตาลุงมักง่ายคนนั้น แต่ไม่ทันที่รถจะจอดสนิท ยัยซิ้มแต่งตัวดีคนหนึ่งก็โผล่มาปาดหน้าเพื่อแซงขึ้นรถเป็นคนแรกเสียดื้อๆ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเหลือที่สำหรับผู้โดยสารคนเดียวซึ่งมันตกเป็นของยัยซิ้มไปแล้ว ปล่อยให้แตบกับตาลุงคนนั้นยืนเก้อด้วยอาการมึนงงไปชั่วขณะ ถ้านับตามคิวแล้ว ที่ตรงนั้นควรจะเป็นของตาลุงมักง่ายด้วยซ้ำไป แต่ก่อนที่แตบจะตัดสินใจโบกมือเรียกแท็กซี่นั้น ผู้ชาย 2 คนที่เบาะหน้า(ท่าทางเป็นเพื่อนคนขับ)ก็ลงจากรถเพื่อสละที่นั่งให้เรา แตบได้ยินแค่ว่า.. "ไม่เป็นไรใกล้ถึงแล้ว เดี๋ยวต่อสองแถวดีกว่า" แตบกับตาลุงมักง่ายจึงได้ที่นั่งโดยบังเอิญ ถึงแม้แตบจะอารมณ์เสียกับพฤติกรรมของยัยซิ้มเห็นแก่ตัวแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวขอบคุณผู้ชายปอนๆ 2 คนนั้นที่เสียสละที่นั่งให้กับแตบ

ตลอดทางที่แตบนั่งรถไปนั้น แตบก็คิดโน่นคิดนี้ไปเรื่อย นึกถึงภาพตาลุงมักง่ายตอนที่แกเหวี่ยงขยะลงพื้นไป นี่ถ้าเป็นสมัยผู้ว่า ดร.พิจิตรล่ะก็ ตาลุงคงจะถูกจับปรับไปแล้วแน่นอน และพอนึกถึงพฤติกรรมเห็นแก่ตัวของยัยซิ้มไร้มารยาทก็อดนึกถึงการอบรมสั่งสอนของแม่แตบไม่ได้ แม่แตบเป็นคนบ้านคอกนาและเรียนจบแค่ชั้น ป.4 ก็จริง แต่แม่ก็รู้จักปลูกฝังลูกเรื่องมารยาทผู้ดีให้ลูกมาโดยตลอด สำหรับยัยซิ้มคนนี้แตบว่าท่าทางแม่ของแกคงจะลืมสอนเรื่องนี้ไปแน่ๆเลย หรืออาจจะสอนแต่แกไม่เคยจำ แต่ก็เอาเถอะค่ะ ถึงแกไม่ตัดหน้าแย่งที่นั่ง แตบก็จะเสียสละให้แกอยู่ดี เพียงแต่รู้สึกอ่อนใจกับพฤติกรรมของคนประเภทนี้เท่านั้นเอง การที่ได้เดินทางออกนอกบ้านหนนี้ แตบได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งสิ่งปลูกสร้างรูปทรงทันสมัยที่นับวันจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆราวกับดอกเห็ด ได้เห็นการปรับปรุงสภาพถนนเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัยตามศูนย์การค้า ได้เห็นผู้คนใส่ใจรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวให้ดูดีมากขึ้น(สังเกตุจากป้ายโฆษณาน้อยใจตามสถานที่ต่างๆ) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยนั่นคือ "สันดานคน"

เมื่อสิบปีที่แล้ว คนไทยจำนวนมากในสังคมเมืองมักง่ายและเห็นแก่ตัวอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น เผลอๆแย่ลงกว่าเดิมหลายเท่าตัวด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่มาพร้อมความเจริญทางด้านวัตถุจริงๆ ตกลงแล้วเรื่องนี้เป็นความผิดของวัตถุ หรือตัวบุคคล เก็บไปคิดดูเล่นๆก็แล้วกันนะคะ(หมายถึงคิดเล่นๆ อย่าคิดจริงๆ..เดี๋ยวปวดหัว)

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สีสันริมระเบียง

นอกจากการวาดรูป และศึกษาหาความรู้ทางอินเตอร์เนตแล้วงานอดิเรกที่แตบโปรดปรานเอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการปลูกต้นไม้ค่ะ เรียกได้ว่าเป็นคนรักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจเลยทีเดียวเชียว ไม่เคยเกี่ยงว่าเจ้าต้นนั้นชื่ออะไร ราคาแพงหรือไม่..รักเท่าๆกัน

ช่วงที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองนั้น แตบเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ย่านพระโขนงและเริ่มขนขวายหาไม้กระถางมาปลูกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่จะเน้นประเภทไม้ใบเท่านั้น เนื่องจากไม้ประเภทนี้เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไร ดังนั้นริมระเบียงหลังห้องของแตบจึงเหมาะแก่การตั้งวางไม้กระถางเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้แตบต้องหอบหิ้วต้นไม้กลับมาทุกครั้งหลังกลับจากการเตร็ดเตร่ช่วงวันหยุด จนหลังบ้านรกครึ้มกลายเป็นป่าดงดิบขนาดย่อมนั่นแหละ ถึงได้เลิกหามาเพิ่ม
  กระทั่งแตบตัดสินใจซื้อบ้าน(ทาวน์เอ้าส์)ย่านชานเมือง แตบก็ไม่ลืมที่จะหอบหิ้วต้นไม้เหล่านั้นมาด้วย จำได้ว่าย้ายบ้านตอนนั้น ทุลักทุเลมากมาย ทั้งข้าวของ ทั้งต้นไม้ มันแออัดยัดเยียดแน่นรถไปหมด สุดท้ายเหลือต้นไม้อยุ่ 3 กระถางที่หาที่ยัดอีกไม่ได้ แตบเลยต้องตัดใจยกให้เพื่อนไปคนละกระถาง ทั้งๆที่กังวลว่าเขาจะดูแลมันได้ไม่ดีเท่าเรา ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ แตบมีเนื้อที่ให้ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นพอสมควร ที่หน้าบ้าน,หลังบ้าน และริมระเบียงห้องนอน ด้วยความที่บริเวณต่างๆที่กล่าวมามีแสงแดดส่องได้ทั่วถึง แตบจึงเริ่มต้นปลูกไม้ดอกบ้าง มีหลายคนเตยบอกว่า ไม้ดอกจะงอกงามเฉพาะตอนที่มันอยู่กับคนขายเท่านั้น นี่ถ้าแตบเชื่อโดยไม่ลองลงมือปลุกเอง ป่านนี้แตบก็คงไม่มีสีสันของไม้ดอกให้ชื่นชมอยู่รายรอบบริเวณบ้านแน่นอน
  กุหลาบริมระเบียงที่แตบนำมาโพสให้ชมนี้ แตบปลูกมา 4 ปีแล้วค่ะ วันแรกที่ซื้อมาดอกไม่ดกขนาดนี้ด้วยซ้ำ จำได้ว่าตั้งแต่ซื้อมาแตบเคยใส่ปุ๋ยแค่ 3 ครั้งเองค่ะ ส่วนมัมอีกสองกระถางที่เห็น สามีเพิ่งซื้อมาให้ช่วงก่อนปีใหม่ ช่วงนี้นดอกดกเต็มต้นเลย เพิ่งโรยไปเมื่อไม่นานนี้เอง แต่แตบมั่นใจว่ามันจะออกดอกให้ชมอีกครั้งแน่นอน ถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าเริ่มมีตัวเพลี้ยสีขาวๆมาเกาะตามใบแล้ว(คงปลิวมาจากต้นตะขบข้างบ้าน) แต่แตบไม่ฆ่ามันหรอกค่ะ เพราะมันก็ต้องกินเหมือนๆกับเรา
  ต้นไม้น้อยใหญ่ต่างก็ให้ประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตแตกต่างกันไป ในฐานะที่แตบเป็นมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่ปลูกต้นไม้ แตบได้ประโยชน์จากมันหลายอย่าง ทั้งอ๊อกซิเจนที่จำเป็นกับชีวิต ทั้งความสนุกเพลิดเพลินที่ได้เห็นความเจริญงอกงามของมัน และที่สำคัญต้นไม้มีส่วนกล่อมเกลาจิตใจของสาวเลือดร้อนอย่างแตบให้รู้จักความอ่อนโยนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวเชียวค่ะ

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โปรเจ็คบุญ


เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แตบเปิดคลิปวิดีโอ "คุณครูบุปผา" ให้สามีดูหลังจากเลิกงานกลับเข้าบ้านมา สามีดูไปน้ำตาซึมไปด้วยความเห็นใจและซาบซึ้งในบทบาทชีวิตของครูสูงวัยผู้ อารีย์ ดูจบก็ขอนำลิงค์เรื่องราวของท่านไปเผยแพร่ให้เพื่อนสมาชิกในเวบบอร์ดของคุณเธอได้รับรู้ เพื่อระดมความช่วยเหลือในโอกาสต่อไป
 คุณครูบุปผา หมุนสา แม่พระของเด็กยากจนโรงเรียนวิชาวดี

หลังจากนั้น แตบมีโอกาสคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่แตบนับถือคนหนึ่งในตอนดึกที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วถึงเรื่อง "คุณครูบุปผา" โชคดีที่เธอก็รับทราบเรื่องราวของท่านมาบ้างแล้ว เราจึงคุยกันเข้าใจง่ายขึ้น รุ่นพี่คนดังกล่าวชักชวนหาวันเดินทางไปเยี่ยมคุณครูที่ จ.นครสวรรค์ด้วยกัน พร้อมเสนอตัวว่าจะขอเรี่ยไรเงินจากเพื่อนๆในบริษัทมาสมทบทุนด้วยอีกแรง ได้ยินแค่นี้แตบก็ยินดีและตื้นตันใจแทนครูบุปผาแล้วค่ะ นึกไม่ถึงว่าแตบจะได้รับความร่วมมือด้วยดีถึงเพียงนี้ ปกติแล้วแตบไม่ถนัดในการโน้มน้าว หรือขอความร่วมมือจากใครๆนัก นี่หรือเปล่านะที่คนเขาพูดกันว่า ..
"อันความกรุณา จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองดั่งสายฝนอันชื่นใจ ........."
เรานัดแนะกันคร่าวๆว่าจะเดินทางประมาณสิ้นเดือน ก.พ.นี้ นอกจากจะตั้งใจไปแวะเยี่ยมเพื่อนำเงินและข้าวของจำเป็นบางอย่างไปมอบแก่คุณครูแล้ว เรายังจะหาทำเลนั่งทานอาหารกันแถวริมฝั่งแม่น้ำเพื่อชมบรรยากาศของ ต.ปากน้ำโพด้วย พูดแล้วตื่นเต้นมากมายที่จะได้ไปทำบุญและท่องเที่ยวด้วยในตัว(เข้าทางวิถีชีวิตของแตบเลยแหละ อิอิ)
แตบขอถือโอกาสนี้บอกบุญคุณผูอ่านทุกคนเลยก็แล้วกันนะคะ ว่าทริปการเดินทาง "โปรเจ็คบุญ" ครั้งนี้ของแตบกับเพื่อนรุ่นพี่นั้น ยินดีเปิดรับความช่วยเหลือในทุกรูปแบบ ไม่จำกัดปริมาณและราคา ถ้าเป็นไปได้แตบอยากให้เดินทางร่วมไปกับเราด้วย นอกจากจะได้สร้างสรรค์ทำความดีให้สังคมแล้ว เรายังได้กระชับความสัมพันธ์กันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย


หรือใครมีข้อแนะนำเสนอแนะอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการช่วยเหลือครูบุปผาและโรงเรียนวิชาวดี แตบกับกลุ่มเพื่อนก็ยินดีรับมาพิจารณาค่ะ
ติดต่อแตบตามอีเมลนี้นะคะ tephoe@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ครูห่อหมก..เธอเป็นยิ่งกว่า"ครู"


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แตบดูทีวีช่องหนึ่ง ช่วง "บันทึกคนดี"ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของผู้หญิงผิวคล้ำ รูปร่างท้วม วัย 60 ปีท่านหนึ่ง ที่มีอาชีพเป็นครูใน จ.นครสวรรค์ ท่านชื่อ "ครูบุปผา หมุนสา"หรือที่ชาวบ้านย่านนั้นรู้จักท่านดีในนาม "ครูห่อหมก" ด้วยความสนใจในเรื่องราวชีวิตของครูท่านนี้ แตบจึงค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมจากอินเตอร์เนต เลยทำให้ได้รับรู้เรื่องราวของครูเพิ่มขึ้น
 คุณครูบุปผา หรือ "บุปผชาติ หมุนสา" เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนวิชาวดี ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนใน ต.ปากน้ำโพ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าโรงเรียนเอกชนแห่งนี้จะเลิศหรูและเป็นแหล่งเรียนรู้ของลูกคนมีอันจะกินนะคะ ตรงกันข้าม โรงเรียนดังกล่าวกลับเป็นสถานที่เล่าเรียนของเด็กกำพร้า,เด็กข้างถนน และเด็กยากจนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นทุกอย่างในโรงเรียนแห่งนี้จึง มีแต่คำว่า"ฟรี" ครูบุปผาเริ่มต้นอาชีพครูในตำแหน่งครูช่วยสอนเมื่อ 42 ปีที่แล้ว ด้วยเงินเดือน 150 บาท(หนึ่งร้อยห้าสิบบาท) กระทั่งในปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่ครูได้เริ่มต้นทำห่อหมกขายเพื่อหาทุนซื้ออาหารกลางวันมาเลี้ยงเด็กยากจนในโรงเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่า
 "เริ่มทำห่อหมกขายตั้งแต่ปี 2543 จุดประกายเกิดจากช่วงพักเที่ยงวันหนึ่ง มีเด็กมาฟ้องว่าข้าวหายไปจานหนึ่ง แต่ไม่มีใครยอมรับ ก่อนจะจับได้ว่ามีเด็กหญิงปัญญาอ่อนคนหนึ่งขโมยไป แต่พอถามเหตุผลก็ถึงกับอึ้ง เด็กบอกเอาไปให้แม่กินที่บ้าน ที่บ้านไม่มีข้าวเหลือเลย จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราบอกกับตัวเองว่า ถึงโรงเรียนจะขาดแคลนงบประมาณสักเพียงไหน ก็ต้องเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ให้ได้ จึงเริ่มทำห่อหมกวันละ 150 กระทง กระทงละ 10 บาท วันธรรมดาเดินเร่ขายตามสถานีรถไฟ และวันเสาร์อาทิตย์ไปขายในตลาด ทำให้พอมีรายได้เลี้ยงเด็กๆ ให้อิ่มท้อง"
ครูเผยว่าในช่วงแรกๆ ยอมรับว่ามีความคิดมุ่งมั่นพัฒนาความรู้ด้านวิชาการเพื่อให้ทัดเทียมมาตรฐานโรงเรียนเอกชนอื่นๆ แต่เมื่อสัมผัสปัญหาเด็กๆ อย่างลึกซึ้ง ก็ทำให้พบว่า วิชาที่ต้องบ่มเพาะพวกเขาควรจะเป็นวิชาชีวิต จึงเบนเข็มมาสอนกิจกรรมเสริมนอกเวลาเรียน เช่น ทำห่อหมก ทอดมัน ทำน้ำเต้าหู้ น้ำยาล้างจานปลอดสารเคมี ปลูกผัก เลี้ยงปลา ตลอดจนโครงการจริยธรรมที่จะสอนให้เป็นคนดีในสังคม เพื่อเติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กอย่างสุดกำลัง เพื่อที่ว่าจะได้นำวิชาชีพไปใช้หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในอนาคตได้ นักเรียนโรงเรียนวิชาวดีมีจำนวน 83 คน มีเด็กที่อยู่ระดับ ป.1-6 จำนวน 60 คน และเด็กอีก 23 คน พ่อแม่เอามาฝากให้ครูใหญ่ดูแล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงทำให้เธอทำห่อหมกเพื่อนำรายได้มาสมทบค่าอาหารกลางวันให้เด็กๆ เนื่องจากเงินสนับสนุนจากภาครัฐเดือนละ 2 หมื่นบาทนั้น ครูต้องแบ่งเป็นค่าอาหารกลาวัน ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าตอบแทนครูน้อยอีก 8 คน แต่หากเป็นกรณีโอกาสพิเศษ เช่น วันเด็ก เธอจะไปขอรับบริจาคสิ่งของตามร้านค้าในตลาดมาห่อของขวัญให้เด็กจับฉลากกันทุกการกระทำของครูบุปผาชาติประจักษ์ชัดว่า เป็นความปรารถนาดีที่มนุษย์คนหนึ่งมีต่อมนุษย์อีกเกือบร้อยคน และยังสอนเด็กเรียนรู้ถึงคำว่าให้ โดยไม่หวังผลตอบแทนอีกด้วย ดอกไม้แห่งโรงเรียนวิชาวดียังคงขจรกลิ่นวิชาชีวิตไม่รู้จักหยุดหย่อน สมควรแล้วแก่การยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของคนที่เกิดมาเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง แม้ว่าปัจจุบันครูจะอายุ 60 ปีซึ่งเป็นวัยเกษียณอายุราชการแล้ว แต่ครูยังยืนยันที่จะทำหน้าที่สร้างคนดีต่อไปจนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง
 แตบได้เห็นรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปิติของครูห่อหมกผู้อารีย์ หลังจากที่ทีมงานรายการเจาะใจเดินทางไปถ่ายทำและเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆแล้ว มันเป็นภาพที่น่าประทับใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ความรักความผูกพันธ์ที่ครูมีต่อศิษย์นั้นช่างเป็นสิ่งสวยงามเกินบรรยาย แตบเองถึงแม้จะเติบโตในรั้วโรงเรียนที่ชนบท แต่แตบก็ไม่เคยเห็นครูคนไหน ที่ทำเพื่อศิษย์ได้มากมายเท่าครูบุปผาเลยสักคน นี่แหละค่ะ เรื่องราวและบทบาทของ "ครูห่อหมก" ครู ผู้เป็นยิ่งกว่า"ครู"
 คุณผู้อ่านติดตามชมเทปรายการที่นำเสนอเรื่องราวของเธอได้ตามลิงค์นี้นะคะ http://www.manytv.com/videos/6855-_15_1_2009_.php
ปล.แตบอยากมีส่วนสนับสนุนครูบุปผาและทำประโยชน์ให้สังคมจังเลยค่ะ คุณผู้อ่านท่านไหนสนใจลองมาแชร์ไอเดียกับแตบดีมั๊ยคะ?