วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ความทรงจำตราควายสีชมพู


มีคนกล่าวไว้ว่า "ธรรมชาติของวัยรุ่นมักเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับจินตนาการและความใฝ่ฝันในอนาคต ในขณะที่คนแก่มักจะจ่อมจมอยู่กับการรำลึกความทรงจำในอดีต" แตบไม่รู้ว่าเพื่อนๆวัยเดียวกันกับแตบจะเป็นอย่างข้อความที่แตบกล่าวอ้างมาหรือเปล่า แต่แตบเป็นค่ะ แตบกล้ายอมรับว่าตัวเองชอบนึกถึงอดีตอันแสนหวานอยู่บ่อยๆ โดยไม่อายค่ะที่ใครจะล้อว่า "แก่ " ..เพราะทุกคนไม่มีทางหลีกเลี่ยงสัจจธรรมข้อนี้ไปไม่ได้อยู่แล้ว เหอๆ
         วันที่เขียนบทความนี้ เป็นวันที่ฝนฟ้าคะนองหนักน่าดู อยู่ดีๆแตบก็นึกถึงความทรงจำอันแสนหวานในวัยเด็กของตัวเองขึ้นมาค่ะ แตบมักจะเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ พอนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างแล้วสมองส่วนที่บันทึกความทรงจำของแตบมันก็เริ่มทำงานทันที ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 หรือ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ภาพในอดีตมันก็ยังคงสภาพแจ่มชัดในความทรงจำของแตบเสมอมา

       จำได้ว่า เมื่อครั้งที่แตบยังเป็นเด็กสาวแสนซนและใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั้น แตบเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำฝนมากๆค่ะ ทุกครั้งที่ฝนตก แตบจะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองได้สัมผัสความเย็นชื่นใจของน้ำฝนที่โปรยปรายลงมานั้นให้ได้(ทั้งที่แม่คอยดุนักหนา) เป็นต้นว่า แกล้งทำเนียนวิ่งไปเก็บกระจาดพริกแห้งที่แม่ลืมทิ้งไว้(ถ้าแม่อยู่ด้วย แตบจะแกล้งเสียเวลาเก็บทีละนานๆ) หรือไม่ก็แกล้งวิ่งไปเก็บผ้าจากราวนอกบ้าน แบบว่า เก็บทีละชิ้น ทีละผืนอะไรเงี้ยค่ะ ถ้ามีผ้า 10 ผืนก็จะวิ่งเก็บอย่างน้อย 5 รอบขึ้นไป เท่านั้นไม่สาแก่ใจสำหรับแตบหรอกค่ะ หลังจากเก็บข้าวของทุกอย่างจนครบถ้วนแล้ว แตบก็จะแกล้งวิ่งไปสอดส่องหาโน่นหานี่รอบๆบริเวณบ้าน ประมาณว่า มีอะไรที่ลืมเก็บอีกหรือเปล่า เพื่อให้ตัวเองได้ตากฝนจนเปียกปอนจนกว่าจะพอใจเท่านั้นเอง อิอิ แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกและมีลมกระโชกรุนแรงในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แตบก็มักจะแอบกลับมาเปลี่ยนชุดเงียบๆที่บ้าน ก่อนหนีแม่ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆในวัยเดียวกันที่นอกบ้าน ในมือของเด็กซนแต่ละคนมีสัมภาระสำหรับใส่ของคนละไม่ต่ำกว่า 1 ชิ้น อันได้แก่ ตระกร้าไม้ไผ่,ถังพลาสติก และถุงผ้า(ย่าม) จุดหมายปลายทางของพวกเราก็คือใต้ต้นมะม่วงริมรั้วของชาวบ้าน แต่สถานที่ฮอตฮิตเป็นที่นิยมสุดๆของเด็กๆทุกกลุ่มก็คือ ต้นมะม่วงยักษ์(ต้นใหญ่มากๆ)ที่สวนหลังบ้านของ"พี่แดงดอกไม้" นั่นเอง บริเวณดังกล่าวมีต้นมะม่วงใหญ่ยักษ์ที่ออกลูกดกเป็นสิบๆต้นเชียวค่ะ ถ้าเด็กกลุ่มไหนไปถึงก่อนก็จะกวาดเก็บมะม่วงได้มากว่านั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นคือ..มันเป็นความภาคภูมิใจเล็กๆน้อยๆของเด็กๆน่ะค่ะ "พี่แดงดอกไม้"เธอเป็นหญิงสาววัย 20 ต้นๆ ที่มีหน้าตาผิวพรรณดีกว่าชาวบ้านทั่วๆไป และดีกว่าบรรดาพี่สาวแท้ๆของแตบด้วย( พี่สาวของแตบรับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพวกเธอมักเข้าใจผิดว่าตัวเองเริ่ดดดสุดในตำบล) เรื่องชื่อของเธอนั้นเป็นอย่างนี้ค่ะ.."แดง" เป็นชื่อเล่น "ดอกไม้"เป็นชื่อจริง แต่ทุกคนในหมู่บ้านรวมหัวกันเรียก "แดงดอกไม้" เนื่องจากคนที่ชื่อ "แดง" มีไม่ต่ำกว่า 10 คนนั่นเอง ใต้ร่มเงาแห่งต้นมะม่วงยักษ์ที่รายรอบนั้น มีคอกควายค่ะ ครอบครัวพี่แดงมีควายในครอบครองประมาณ 3-4 ตัว(จำไม่ได้ว่ากี่ตัวกันแน่ แต่อยู่ระหว่างนี้นี่แหละ) หนึ่งในจำนวนนั้น มีควายเผือกอยู่ 1 ตัว ซึ่งแตบมักเรียกว่า"ควายสีชมพู" เนื่องจากผิวของเธอเป็นสีขาว อมชมพู..สวยงามน่ารักเชียว และทุกครั้งที่แตบไปเก็บมะม่วงหล่นนั้น แตบจะพบเธอบ่อยๆ เธอจะส่งยิ้มหวานทักทายทุกครั้ง แต่แตบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพราะต้องแข่งเก็บมะม่วงกับเพื่อนๆต่อไป ความจริงแล้ว บ้านทุกหลังในหมู่บ้านของแตบจะปลูกผลไม้อย่างมะม่วง และ มะขามไว้ทุกหลังคาเรือนค่ะ แม้แต่บ้านของแตบและเพื่อนๆก็มีมะม่วงและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมายหลายต้น และด้วยความที่ทุกบ้านมีต้นมะม่วงนี่แหละค่ะ ที่ทำให้ไม่มีใครหวง โดยเฉพาะมะม่วงที่หล่นเองโดยแรงลมด้วยแล้ว บางครั้ง"พี่แดงดอกไม้" สาวสวยจิตใจงามยังมาช่วยพวกแตบเก็บเลยค่ะ เธอบอกว่า "เก็บไปให้หมดนะ เพราะบ้านพี่กินไม่ทัน ทิ้งเอาไว้ก็เน่าเสียเปล่าๆ" คนบ้านนอกสมัยนั้นจิตใจดีมากๆค่ะ ความสวยและมีน้ำใจของ "พี่แดงดอกไม้" ยังตราตรึงในความทรงจำเสมอมา และแล้ววันเวลาก็ผ่านไป แตบเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆไปตามกาล พ่อ-แม่ ของแตบได้ส่งเสียให้แตบไปเรียนต่อในตัวจังหวัด หลังเรียนจบแตบก็ได้งานทำทันที แต่เป็นงานในกรุงเทพฯค่ะ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้แตบต้องห่างบ้านเกิดออกไปอีกโดยไม่ตั้งใจ แตบใช้ชีวิตวนว่ายอยู่ในสังคมอันยุ่งเหยิงและวุ่นวายของกรุงเทพฯนานเกือบ 20 ปีมาแล้ว นานๆจะมีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง(คิดถึงบ้านทุกลมหายใจ แต่ขี้เกียจเดินทาง) ครั้งล่าสุด แตบกลับไปเยี่ยมพ่อ-แม่ที่แผ่นดินเกิด สังเกตเห็นว่าหมู่บ้านของแตบเจริญขึ้นมากด้วยสิ่งปลูกสร้างรูปทรงทันสมัย บ้านที่มีหลังคาไม้และต่อนอกชานไว้เป็นที่รับลมแบบโบราณนั้นหายไปหมดแล้ว ด้วยความโหยหาอดีตอันแสนหวานในวัยเยาว์ แตบจึงเดินเท้ารอบหมู่บ้านเพื่อเยี่ยมเยียนและทักทายคนรู้จัก แล้วแตบก็มีโอกาสพบหน้า"พี่แดงดอกไม้" อีกครั้งหนึ่ง เธอดูสูงวัยขึ้นมาก แต่ก็ยังมีเค้าความสวยให้เห็นจางๆ เรามีโอกาสพูดจาปราศัยกันนานทีเดียว ก่อนจากลากัน แตบทอดสายตาออกไปยังสวนมะม่วงยักษ์หลังบ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ต้น ต้นที่เหลืออยู่มันดูแก่และทรุดโทรมลงไปถนัดตา ส่วนบริเวณที่เคยเป็นคอกควายนั้นก็หายไปแล้ว รวมทั้ง"ควายสีชมพู" ตัวนั้น จะเหลือก็แต่ลานดินโล่งๆ สิ่งที่เคยเป็นรั้วไม้แข็งแรงก็กลายสภาพเป็นแค่ท่อนไม้ผุพังที่นับวันจะจมหายไปจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกับดิน แตบรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก มันเศร้าใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ..มันบอกไม่ถูกจริงๆ

และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าที่ตั้งแต่แตบกลับมาเหยียบย่างบนแผ่นดินเกิดหนนี้ แตบยังไม่เห็นควายเลยสักตัว อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ในหมู่บ้านตามชนบทแต่ละแห่ง จะมีควายเหลืออยู่สักกี่ตัวกัน? วิถีของสังคมเกษตรกรรมในที่ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไป แรงงานจากควายกลายเป็นสิ่งล้าสมัยและขาดความจำเป็นไปแล้ว ประโยชน์ของควายแต่ละตัวที่เหลืออยู่ มีเพียงการเป็น "อาหาร" เลี้ยงท้องของชาวบ้านเท่านั้นเอง จะมีสักกี่คนที่เลี้ยงควายเพราะความรักความผูกพันธ์ ที่อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งในอดีต มันเคยช่วยเราไถนา เพื่อปลูกข้าวให้เรากินบ้าง???

      หากใครเคยเห็นแววตาของวัว-ควาย ใน "ตลาดนัดโค-กระบือ" หรือ ใน "โรงฆ่าสัตว์"มาบ้าง แตบถามหน่อยสิคะ..คุณรู้สึกอะไรบ้างมั๊ย?

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประเดิม!

สมัยที่แตบยังเป็นเด็กหญิงผู้ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่นั้น แตบเคยฝันใฝ่ที่จะเป็นนักเขียนบทประพันธ์สาวผู้เลอโฉมให้ได้ค่ะ ในตอนนั้นแตบยังเป็นเด็กน้อยช่างฝัน มีจินตนาการเพริศแพร้วแวววิไลล้นสมองเหลือเกิน แต่ด้วยความที่เป็นคนสมาธิสั้นและขาดแรงบันดาลใจอย่างแรง งานเขียนแต่ละเรื่องของแตบจึงไม่สำเร็จสักที กระทั่งวันเวลาผ่านพ้นไป เด็กหญิงผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งปุยนุ่นที่ชื่อ"แตบ" ก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนสาวได้เริ่มซีดจางจนเหือดหายไปอย่างไม่รู้ตัว
ยิ่งในโลกปัจจุบันนี้ สังคมมนุย์เมืองมันช่างสับสนวุ่นวายและเร่งรีบร้อนรนเหลือเกิน เปรียบไปมันก็ไม่ต่างอะไรกับพายุหมุนวนที่กวาดกลืนสรรพสิ่งให้ลอยล่องหรอกค่ะ แตบเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เผลอไผลใจให้หลุดลอยในพายุสังคมที่หมุนวนตาละปัดนั้น แต่โชคดีที่แตบสวยมากๆและฉลาดพอที่จะหาทางตะกายออกมาได้สำเร็จ และเมื่อออกมาจากพายุได้ แตบเองก็เริ่มเก็บกวาดสติที่ตกหล่นเรี่ยราดกระจัดกระจายนั้นกลับคืนทีละชิ้น สองชิ้นจนครบถ้วน เวลานี้พายุสังคมอันปั่นป่วนมันพัดผ่านออกไปไกลจากชีวิตแตบแล้วค่ะ..แตบรู้สึกดีขึ้นมากๆ(อยากกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด เหลือเกิน)
เมื่อสติกลับคืนมา จิตใจของแตบก็มีโอกาสได้พักผ่อนอย่างสงบอีกครั้ง แปลกนะคะ เมื่อเวลาที่จิตใจเราสงบ อะไรๆมันก็ดูดีแสนราบรื่นทั้งนั้น มันเหมือนมีดอกไม้แสนสวยหลากสีที่ผลิบานขึ้นรายรอบชีวิตของเรายังไงยังงั้นเลยทีเดียวเชียว ตอนนี้นี่เองค่ะ ที่จินตนาการในวัยเยาว์ของแตบมันเริ่มกลับคืนมาทอแสงเปล่งประกายแวววับอีกครั้ง
ที่เขียนเล่ามายืดยาวเยิ่นเย้อทั้งหมดก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่อยากจะเม้าท์ให้เว่อร์ๆเท่านั้นเอง ถ้าจะสรุปให้สั้นๆก็คือ.. ตอนเด็กๆอยากเป็นนักเขียน แต่ก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียก่อน แต่ตอนนี้กลับมามีความคิดที่จะเป็นนักเขียนอีกครั้ง และตอนนี้แตบก็ได้เริ่มลงมือทำแล้ว(ไม่มีใครอ่าน แตบเก็บไว้อ่านเองก็ได้ค่ะ อิอิ)