วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

สิงหาพาเศร้า


ชีวิตของคนเรามีโอกาสถูกโชคชะตาเล่นตลกอยู่บ่อยๆโดยไม่เลือกวันเวลา หลายครั้งที่โชคชะตานำพาเราไปพบเจอคนหรือสิ่งอันเป็นที่รัก แต่ยังไม่ทันที่เราจะชื่นชมให้สมใจ โชคชะตากลับแย่งชิงช่วงเวลานั้นไปจากเราโดยไม่ปล่อยให้ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด
 บ่ายของวันที่6 สิงหาคมที่เพิ่งผ่านไป ครอบครัวแตบมีโอกาสได้ต้อนรับสุนัขเพศผู้พันธุ์พุดเดิ้ลสีดำรูปร่างค่อนข้างผอมวัย 6 ขวบตัวหนึ่งเข้าบ้าน เดิมทีมันชื่อ "เจ้าแบล็ค" แต่แตบตั้งชื่อใหม่ว่า "บูกี้" เรื่องของเรื่องมันเกิดจากย้อนหลังไปก่อนนั้นหนึ่งวัน ขณะที่แตบกลับจากซื้ออาหารสัตว์ที่ตลาดด้วยบริการของแท็กซี่ แตบมีโอกาสพูดคุยและรับรู้ปัญหาของคนขับรถรับจ้างคันดังกล่าว เขาเล่าว่ากำลังมีปัญหาหนักอกเรื่องสุนัขที่เลี้ยงไว้ ด้วยความที่ทั้งคนขับแท็กซี่และภรรยาต่างก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ จึงทำให้ไม่มีเวลาดูแลสุนัขตัวดังกล่าวให้ดีได้เท่าที่ควรจะเป็น เวลาที่ทั้งสองออกไปทำงานจึงได้แต่ปล่อยให้สุนัขเผชิญชะตากรรมอยู่เพียงลำพังภายในบริเวณแฟลต เหตุนี้เองที่ทำให้สุนัขตัวดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนรำคาณด้วยการเห่าหอนและขับถ่ายเรี่ยราดไม่เป็นที่ จนถูกไล่ตีนับครั้งไม่ถ้วน วันดีคืนดีก็มีชาวแฟลตข่มขู่จะวางยาพิษ หลังจากรับฟังปัญหาแล้วแตบก็พลอยเครียดตามไปด้วย รู้สึกสงสารเจ้าหมาน้อยขึ้นมาจับใจ อย่างน้อยที่สุด ครั้งหนึ่งแตบก็เคยมีประสบการณ์แย่ๆแบบนี้มาก่อน สุดท้ายแล้วแตบจึงตัดสินใจยื่นมือให้การช่วยเหลือ ด้วยการรับเจ้าพุดเดิ้ลสีดำตัวนั้นมาอุปการะเสียเอง ตอนที่ภรรยาคนขับแท็กซี่อุ้มเจ้าบูกี้มาส่งให้แตบที่บ้าน วันนั้นอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน เจ้าบูกี้แสดงแววตาเศร้าสร้อย มันขัดขืนเล็กน้อยตอนที่แตบรับมาอุ้มครั้งแรก เจ้าของมันส่งถุงอาหารเม็ดให้แตบขณะที่พูดฝากฝังสองสามคำก่อนผละเดินจากไปโดยไม่หันมามองมันอีก เจ้าบูกี้ได้แต่ร้องหงิงๆในลำคอและมองตามเจ้าของเดิมด้วยสายตาละห้อย หลังจากรับตัวเข้าบ้าน แตบก็ได้แต่กอดและลูบหัวปลอบใจอยู่เนิ่นนาน ถึงกระนั้นเจ้าหมาน้อยยังไม่วายที่จะเฝ้ามองและวิ่งไปเกาะประตูรั้วเกือบทั้งคืน คล้ายจะรอการกลับมาของเจ้าของเดิมเสียอย่างนั้น เห็นแล้วก็ได้แต่สลดหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก กว่าที่เจ้าบูกี้จะยอมรับและวางใจแตบก็ต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆเลยทีเดียว แต่พอยอมรับแตบได้เจ้าบูกี้ก็ตามติดแตบไม่ยอมห่าง ไม่ว่าจะขยับตัวไปมุมไหนของบ้าน เป็นต้องมีบูกี้วิ่งตามทุกครั้งไป ย่างเข้าวันที่สี่และห้าแห่งชีวิตในบ้านหลังใหม่ของพุดเดิ้ลน้อย แตบสังเกตุเห็นบูกี้ไอและจามบ่อยๆ กินอาหารได้น้อยลง ร่างกายดูผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แตบจึงรีบพาไปหาหมอที่คลีนิคใกล้บ้าน หลังจากตรวจเช็คอาการแล้วจึงได้ทราบว่า บูกี้ป่วยเป็นปอดบวม แตบรักษากับคลีนิคดังกล่าวอยู่สี่วันด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าที่อื่นแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายสุนัขอีก 5 ตัวที่บ้านแตบก็พาลป่วยติดเชื้อไปตามๆกัน แตบจึงตัดสินใจเปลี่ยนที่รักษาใหม่ คราวนี้หมอรับตัวบูกี้ไปอบความร้อนและรักษาตัวที่คลีนิคอยู่ 3 คืน ในขณะที่สุนัขอีก 5 ตัวที่บ้านแตบก็ต้องรักษาตัวด้วยเช่นกัน โชคดีที่อาการไม่หนักหนาเหมือนบูกี้ หมอจึงแวะมาฉีดยาที่บ้านและจัดยากินให้ตามอาการของแต่ละตัว หลังจากบูกี้มีอาการดีขึ้น หมอจึงอนุญาตให้แตบรับตัวมาดูแลต่อที่บ้าน ไม่ช้าไม่นานบูกี้ก็กลับมากินอาหารได้ตามปกติจนแช็งแรงและดูร่าเริงขึ้น ตอนนั้นแตบเริ่มปรึกษาเรื่องการทำวัคซีนกับหมอแต่ได้รับคำแนะนำว่า รอให้บูกี้แข็งแรงกว่านี้ก่อน แต่ไม่ทันที่ทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผน เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงสัปดาห์ บูกี้เริ่มเซื่องซึมจนผิดปกติอีกครั้ง คราวนี้แตบสังเกตุเห็นอาการขากรรไกรกระตุกและถ่ายเหลวเป็นสีน้ำตาล เวลาเดินมักมีอาการโซเซไปมาคล้ายคนเมา แตบจึงรีบนำตัวส่งไปวินิจฉัยอาการอีกครั้ง แล้วก็ได้รับคำตอบว่าบูกี้ป่วยเป็น "ไข้หัดขึ้นสมอง" ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูที่ไม่ใส่ใจของเจ้าของเดิม จำเป็นอย่างยิ่งที่หมอต้องรับตัวไว้ดูแลอีกครั้งแม้ว่าครั้งนี้โอกาสที่จะหายนั้นลางเลือนเต็มที แต่เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้สุนัขอีก 5 ตัวในบ้านของแตบ ที่ตอนนั้นเริ่มทะยอยหายป่วยจากอาการปอดบวมที่ละตัวแล้ว หมอจึงต้องแยกบูกี้ออกไปรักษาอย่างเป็นสัดส่วน
ตลอดระยะเวลากว่า 10 วันที่แตบฝากบูกี้ไว้กับหมอนั้น ชีวิตแตบเต็มไปด้วยความกังวลจนเป็นทุกข์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกข์เพราะคิดถึงและเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะเพิ่งรับบูกี้มาเลี้ยงได้ไม่นาน แต่แตบก็รักและผูกพันอย่างไม่มีเหตุผล ทุกครั้งที่คิดถึงบูกี้ ภาพที่มันเกาะประตูรั้วมองหาเจ้าของเดิมก็ผุดขึ้นมารังควานจิตใจแตบเสมอ ยิ่งได้ทราบข่าวจากหมอว่าอาการของมันเริ่มแย่ลงเรื่อยๆตามลำดับ ยิ่งทำให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก แตบเคยคิดที่จะให้หมอใช้วิธี "หลับ" เพื่อไม่ให้ทรมานไปกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าพอ ได้แต่หวังว่า สักวันบูกี้คงจะดีขึ้น แม้จะหมดค่ารักษาไปอีกเท่าไร แตบกับสามีก็ยอม แต่สุดท้ายบูกี้ก็หมดทางต่อสู้และจากแตบไปในคืนวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ที่แตบรู้สึกแย่ไปกว่านั้นคือการที่ไม่มีโอกาสพบหน้ามันเป็นครั้งสุดท้ายเลย เนื่องจากหมอต้องนำร่างไปทำลายเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อนั่นเอง
หมอรับหน้าที่จัดการกับร่างไร้วิญญาณของบูกี้ไปแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของแตบจึงมีเพียง "ทำใจ" เพื่อยอมรับความสูญเสียในครั้งนี้ให้สำเร็จเท่านั้นเอง..หลับให้สบายนะบูกี้ลูกรัก